หากจะมีสักเพลงหนึ่งของ
The Beatles ที่สะท้อนความสัมพันธ์ที่เริ่มย่ำแย่ลงของสมาชิกจนต้องแยกวงกันไปในที่สุด
เพลงนั้นก็น่าจะเป็นเพลง The Long and Winding Road ที่มีความเป็นมาตั้งแต่การแต่งเพลงไปจนถึงการอัดเสียงในช่วงที่เกิดปัญหาสารพัดขึ้นภายในวง
ในด้านการแต่ง Paul เริ่มแต่งเพลงนี้ตอนที่เขาอยู่ที่
Scotland ในปี 1968
ช่วงที่ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในวงเริ่มจะแย่ลงเรื่อยๆ มีการอัด demo
tape เพลงนี้ระหว่างการทำอัลบั้ม The Beatles (White Album) แต่ก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้ทำต่อจนเสร็จ
Paul แต่งเพลงนี้โดยนึกถึงสไตล์เพลงของ
Ray Charles แม้ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่มีอะไรเหมือนเพลงของ Ray
Charles เลย แต่อิทธิพลของเขาที่ Paul พูดถึงก็ปรากฏในโครงสร้างการเดินคอร์ดที่มีลักษณะคล้ายเพลงแจ๊สมากกว่าเพลงป็อปโดยทั่วไป
นอกจากเพลงนี้แล้ว อิทธิพลของ Ray Charles ต่อการแต่งเพลงของ Paul ยังปรากฏในเพลงเอกของเขาคือ
Yesterday ซึ่งผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปครับ
บรรยากาศเครียดๆระหว่างการถ่ายทำสารคดี Get Back (Let It Be) |
Paul บอกว่าเขาชอบแต่งเพลงเศร้าเพราะมันเหมือนการได้ระบายความในใจบางอย่างออกมา
เป็นการระบายความเครียดในลักษณะหนึ่งโดยไม่ต้องพึ่งจิตแพทย์
มีความเป็นไปได้ที่เพลงนี้สะท้อนถึงจิตใต้สำนึกของ Paul ที่กำลังต้องเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์ที่เลวร้ายภายในวงช่วงนั้น
เนื้อเพลงพูดถึงสิ่งที่พยายามไขว่คว้าแต่ไม่มีทางได้มา เป็นหนทางที่หาจุดจบไม่ได้
แม้แต่ John ก็ยอมรับว่า ตอนก่อนจะแยกวงเป็นช่วงที่ดูเหมือน Paul
จะ creative
มากไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลงนี้หรือเพลง Let It Be
The Beatles ซ้อมเพลงนี้อยู่หลายครั้งระหว่างการอัดเทปภาพยนตร์สารคดีพิเศษเรื่อง
Get Back (ที่กลายมาเป็นอัลบั้ม Let It Be
ในภายหลัง) ใน Twickenham Film
Studios ซึ่งเป็นความคิดของ Paul ที่ต้องการจะหวนกลับไปหารากเหง้าของวงที่เน้นการแสดงคอนเสิร์ต
โดยความคิดที่จะให้ซ้อมเพลงกันก่อนที่จะแสดงจริง
และมีกล้องคอยเก็บภาพบรรยากาศในการซ้อมเพลงเพื่อใช้ประกอบสารคดีดังกล่าว
แต่ดูเหมือนว่าจะมี Paul เพียงคนเดียวที่กระตือรือร้นในเรื่องนี้
สมาชิกคนอื่นไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยโดยเฉพาะ John และ George เพราะเบื่อที่ต้องมาซ้อมเพลงกันเหมือนสมัยก่อน
ในช่วงนั้น John ติดเฮโรอีนอย่างหนักและไม่ยอมห่าง
Yoko Ono ที่อยู่ข้างกายตลอด George ทนไม่ได้ถึงขนาดเดินหนีออกจากสตูดิโอไปเมื่อวันที่
10 ม.ค. 1969 จนทำให้ต้องล้มเลิกการทำสารคดีเรื่องนี้ George ยื่นคำขาดว่าถ้าจะให้กลับมาร่วมกับวงต่อ จะต้องย้ายไปอัดเพลงกันที่ สนญ. Apple
Records ที่ Savile Row ในลอนดอนแทน พวกเขาย้ายกลับมาลอนดอนในวันที่
21 ม.ค. และล้มเลิกความคิดที่จะจัดคอนเสิร์ต
ด้วยความคุ้นเคยกับเพลงนี้และได้ซ้อมกันมาหลายครั้ง
เมื่อย้ายกลับมาที่สตูดิโอ Apple
Records พวกเขาจึงสามารถเริ่มอัดเพลงนี้ได้เลยในวันที่ 26 ม.ค. และอัดอีกครั้งในวันที่
31 ม.ค. หลังจากการแสดง Rooftop Concert ในวันก่อน Glyn Johns โปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม Get Back (ที่ล้มเลิกไปและเปลี่ยนมาเป็นอัลบั้ม
Let It Be แทน) เลือกเวอร์ชันของวันที่ 26 ม.ค. มาใช้
เมื่อ Phil Spector ได้รับมอบหมายจาก Allen
Klein ให้หน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้ม Let It Be ในเดือน เม.ย. 1970 (Allenได้รับความเห็นชอบจาก John,
George และ Ringo ให้เป็นผู้จัดการวงคนใหม่
แต่ Paul ไม่เห็นด้วย อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้ในบทความ
“ประวัติของวง ตอนที่ 4”) เขาเพิ่มการบรรเลงเครื่องสายและ chorus จากคณะนักร้องประสานเสียงเข้าไปด้วย
Phil Spector |
Phil อ้างว่าที่เขาต้อง
overdub แบบนี้เพราะต้นฉบับเดิมที่นำมาทำอัลบั้ม
Let It Be มีปัญหาการเล่นเบสที่ผิดพลาดมากของ
John Lennon (ตามความเห็นของ
Ian MacDonald ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง The Beatles ในหนังสือ Revolution in the Head) เขาตั้งข้อสังเกตว่าการเล่นเบสของ
John ในเพลงนี้ต่ำกว่ามาตรฐานมาก
และเล่นผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อจนดูเหมือนกับจะเป็นการจงใจ อย่าลืมว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง John และ Paul กำลังถึงจุดต่ำสุดในช่วงนั้น
(ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจากฤทธิ์ยาเสพติดก็ได้ เพราะช่วงนั้น John ติดเฮโรอีนอย่างหนัก) แต่ Paul ก็โต้ว่า ความจริงสิ่งที่ Phil ควรจะทำมากกว่าคือการตัดเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาออกไป
แล้วทำการอัดใหม่ เหมือนกับที่ทำกับเพลง Let It Be
ในตอนนั้น Paul ไม่ทราบเรื่องการ overdub
โดย Phil มาก่อน
เมื่อเขาได้ยินเวอร์ชันนี้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะ concept เดิมของอัลบั้ม Get
Back (Let It Be) คือการกลับไปหาความเรียบง่ายเหมือนในยุคแรกของวง
เขาต้องการให้เพลงนี้เป็นเพลง ballad ง่ายๆที่มีแค่เสียงร้องคลอด้วยเครื่องดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้น
Paul โกรธจัดขนาดเขียนจดหมายเปิดผนึกต่อว่า
Allen Klein ลองอ่านจดหมายนี้ดูครับ
Dear Sir,
In the future, no one will be allowed to
add to or subtract from a recording of any of my songs without my permission.
I had considered orchestrating "The
Long and Winding Road," but I had decided against it. I therefore want it
altered to these specifications:
1. Strings, horns, voices and all added
noises to be reduced in volume.
2. Vocal and Beatles instrumentation to
be brought up in volume.
3. Harp to be removed completely at the
end of the song and original piano notes to be substituted.
4. Don't ever do it again.
Signed,
Paul McCartney
c.c. Phil Spector
John Eastman
[ในอนาคต ห้ามผู้ใดดัดแปลงเทปการบันทึกเสียงเพลงของผมโดยไม่ได้รับอนุญาต
ผมเคยคิดที่จะใช้การบรรเลงด้วยวงออร์เครสตราเป็นแบ็คอัพในเพลง
“The Long and Winding Road” มาแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่ทำ ดังนั้น ผมต้องการให้ดำเนินการแก้ไขดังนี้
1. ลดความดังของเสียงที่เพิ่มเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเสียงเครื่องสาย
เครื่องเป่า เสียงร้อง และเสียงเพิ่มอื่นๆ
2.
เพิ่มความดังของเสียงร้องและการเล่นดนตรีของ The Beatles
3. เอาเสียงพิณในตอนท้ายของเพลงออกทั้งหมด
และให้ใส่เสียงการเล่นเปียโนตามต้นฉบับเดิมกลับเข้ามา
4. อย่าทำแบบนี้อีกเป็นอันขาด]
เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นหนึ่งที่
Paul ยกขึ้นมาอ้างเป็นเหตุผลทางกฎหมายในการขอยกเลิก
Beatles partnership (Beatles & Co.) ซึ่งก็เปรียบได้กับการขอแยกวง (ดูรายละเอียดอื่นๆของคดีฟ้องร้องระหว่าง Paul และสมาชิก The
Beatles คนอื่นได้ในบทความ “การแยกวง ตอนที่ 2”)
หลังจาก John ตาย Paul เอาอัลบั้ม
Let It Be มา remix ใหม่เป็น “Let
It Be…Naked” ซึ่งออกวางตลาดในปี 2003 และมีเวอร์ชั่นของเพลง The
Long and Winding Road ที่เป็นไปตาม concept เดิมของ Paul เวอร์ชันนี้ใช้ต้นฉบับเทปที่บันทึกไว้เมื่อวันที่
31 ม.ค. 1969
ส่วนเวอร์ชันที่อัดไว้แรกสุดเมื่อวันที่ 26 ม.ค.
1969 ถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้ม Anthology 3 ซึ่งออกมาในปี 1996 ในเวอร์ชันนี้จะมีท่อนแยกที่ Paul
ใช้วิธีพูดแทนการร้อง
นอกจากนี้ ก็ยังมีอีก 3
เวอร์ชันของเพลงนี้ที่ทำออกมาโดย Paul McCartney หลังแยกตัวเป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว จึงจะไม่ขอพูดถึงในที่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น