วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560
ครบรอบ 50 ปี อัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band
ปีนี้เป็นปีครบรอบ 50 ปีของอัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles ซึ่งออกวางตลาดเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 1967 ในอังกฤษ และวันที่ 2 มิ.ย. 1967 ในอเมริกา เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 ของวงนี้ อะไรทำให้อัลบั้มนี้ถูกยกย่องให้เป็นร็อกอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลโดยนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ สาเหตุหลักน่าจะมาจากอิทธิพลของมันที่มีต่อวงการเพลงในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นต้นแบบ concept album ที่นำไปสู่ยุค album era ที่ศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานแทนที่จะต้องถูกพันธนาการด้วยการมุ่งผลิตเพลงในรูปแบบของซิงเกิลที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการนำเสนอโดยมุ่งเน้นเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว การออกอัลบั้มส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการรวมเอาเพลงที่ออกเป็นแผ่นซิงเกิลมาแล้วเข้าด้วยกันแล้วเพิ่มเพลงที่มีคุณภาพด้อยกว่าเพียงเพื่อ“เติม” อัลบั้มให้เต็มเท่านั้น
The Beatles ไม่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้เพราะมองว่าเป็นการเอาเปรียบแฟนเพลงที่ต้องเสียเงินซื้อเพลงเดียวกันถึงสองหน นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สองเพลงที่ผลิตขึ้นมาก่อนหน้าและถูกนำไปทำเป็นซิงเกิล Strawberry Fields Forever / Penny Lane ไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้ม Sgt. Pepper ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำอัลบั้มเพลงป็อปในสมัยนั้นเพราะมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์วงการเพลงป็อปที่เราจะแยกได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือ“ยุคก่อน” และ “ยุคหลัง” อัลบั้ม Sgt.Pepper ถือเป็นเส้นแบ่งยุคที่เห็นได้อย่างชัดเจน
อัลบั้ม Sgt. Pepper ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของยุคฮิปปี้ที่คนหนุ่มสาวในยุคนั้นปฏิเสธวัฒนธรรมดั้งเดิมและต้องการมองหาสิ่งใหม่ๆให้กับสังคมเป็นยุคแห่งการแสวงหาและไม่ยอมรับคิดแบบเก่าๆหรือที่เรียกกันว่า counterculture มีเพลงซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่าง Lucy In The Sky With Diamonds (ซึ่งย่อได้เป็น LSD ยาเสพติดที่นิยมกันในหมู่ฮิปปี้ในยุคนั้น) หรือ With A Little Help From My Friend (ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่บอกว่า “I get high” ซึ่งเป็นคำสแลงหมายถึงกำลังเมายา หรือ “take some tea” ซึ่งอาจจะหมายถึงการพี้กัญชา) หรือแม้แต่ปกอัลบั้มที่ออกแนว psychedelic ที่ฉีกแนวจากปกอัลบั้มป็อปทั่วไป (ความจริงแนวโน้มนี้เริ่มเห็นได้ตั้งแต่อัลบั้มก่อนหน้าคือ Revolver ซึ่งใช้ลายเส้นสีขาวดำ)
แต่หากมองในแง่เนื้อหาของหลายเพลงในอัลบั้มนี้แล้วเรากลับพบว่าเพลงส่วนใหญ่ยังมีเนื้อหาที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เช่น เพลง She’s Leaving Home และเพลง When I’m Sixty-Four ที่ยังมีมุมมองของคนรุ่นเก่าหรือแม้แต่เพลง Fixing Hole ก็เป็นการบอกเล่าเรื่องราวธรรมดาสามัญของการใช้ชีวิตของคนทั่วไป เนื้อหาเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะกับอัลบั้มที่ออกมาในช่วง Summer of Love ปี 1967 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางวัฒนธรรมในยุคแห่งการแสวงหาของเหล่าบุปผาชน
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างแท้จริงของอัลบั้มนี้คือรูปแบบดนตรีที่แม้นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งจะบอกว่าเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ไม่ใช่เพลงที่เพราะและชวนจดจำมากเท่ากับอัลบั้มก่อนหน้าของ The Beatles ไม่ว่าจะเป็น Rubber Soul หรือ Revolver แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิจารณ์เห็นพ้องกันคือความกล้าในการลองและผสมผสานรูปแบบดนตรีหลากหลายเช่น rock, jazz, blues, avant-garde เป็นต้น นับได้ว่าเป็นต้นแบบของ progressive rock ในเวลาต่อมา มีการใช้เทคนิคการอัดเสียงใหม่ๆ เช่น การตัดต่อเทปให้เล่นวนหรือ loop tape การสร้างเอฟเฟกต์ด้วยการเล่นเทปกลับหลัง การผสมเสียงของเทปจากการอัดสองครั้งที่จังหวะและระดับความถี่เสียง (pitch) ที่แตกต่างกัน
เทคนิคต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่ลูกเล่นเท่านั้น แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งเพลงเพราะเป็นการใช้เอฟเฟกต์เพื่อให้เกิดอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้ฟังที่สอดคล้องกับเนื้อหาของเพลง มีรูปแบบที่คล้ายกับการสร้างงานศิลปะแนว avant-garde ซึ่งมีอิทธิพลมากในยุคนั้น โดยเฉพาะเทคนิคแบบ collage ที่สร้างงานศิลปะขึ้นใหม่จากการผสมผสานและดัดแปลงงานศิลปะแบบเก่าเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ Sgt. Pepper ยังเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่มีช่องว่างระหว่างแต่ละแทร็ก เมื่อแทร็กหนึ่งจบจะต่อเนื่องไปเริ่มอีกแทร็กหนึ่งทันทีโดยไม่มีช่วงหยุดระหว่างเพลง ทำให้อารมณ์ในการฟังเพลงเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด John Lennon เคยคิดที่จะใช้เทคนิคนี้ในอัลบั้ม Revolver แต่ก็ไม่ได้ทำ
เพลงที่เป็น highlight ของอัลบั้มนี้คือเพลง A Day In The Life ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มต่อจากแทร็กเพลงซ้ำ Sgt. Pepper (Reprise) เพื่อให้สะท้อนถึงจุดจบของเรื่องราวในจินตนาการและการกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน ประกอบด้วยท่อนหลัก 4 ท่อนและท่อน bridge ท่อนที่แปลกและค่อนข้าง abstract คือช่วงที่บรรเลงด้วยออร์เครสตราใช้เครื่องดนตรี 40 ชิ้นแบบให้อิสระกับนักดนตรีในการไล่โน้ตจากต่ำไปสูงซึ่งมีความยาวทั้งหมด 24 ห้องดนตรี สอดแทรกด้วยท่อนกลางที่ Paul เป็นคนแต่งและร้อง ส่วนที่เหลือของเพลงแต่งโดย John จากเรื่องราวที่เขาอ่านพบในหนังสือพิมพ์ เนื้อเพลงช่วงก่อนเข้าสู่การบรรเลงแบบอิสระของออร์เครสตรามีข้อความว่า “…I love to turn you on..” ซึ่ง BBC ในสมัยนั้นมองว่าหยาบคายเกินไปเพราะสื่อถึงเรื่องเพศ เป็นเหตุให้เพลงนี้ถูกแบนไม่ให้ออกอากาศ
เพลงจบลงด้วยคอร์ด E major ที่ดังอยู่เกือบหนึ่งนาทีเต็ม คอร์ดนี้เล่นด้วยเปียโน 3 หลังผสมด้วยเสียงของ harmonium (ออร์แกนโบราณชนิดหนึ่ง) และใช้เทคนิคในการอัดที่ช่วยให้ลากเสียงคอร์ดสุดท้ายออกไปนานถึงกว่า 40 วินาที
มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเพลงนี้ว่า ในตอนแรกเพลงปิดอัลบั้มควรจะเป็น Sgt. Pepper (Reprise) เพราะจะเป็นไปตาม concept ที่ให้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยวง Sgt.Pepper แต่เมื่อโปรดิวเซอร์ George Martin ได้ฟังคอร์ดสุดท้ายของเพลง A Day in the Life แล้วเขาคิดว่าเสียงทอดยาวของคอร์ดนี้ควรจะเป็นคอร์ดสุดท้ายของอัลบั้มนี้ ไม่มีอะไรจะมาแทนมันได้
แม้แต่ปกอัลบั้มนี้ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย อย่างแรกที่มักพูดถึงกันคือการสื่อด้วยภาพของวงในจินตนาการ Sgt. Pepper ที่มีการแต่งกายรวมทั้งการไว้ทรงผมและหนวดเคราที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์ “mop tops” หรือ “สี่เต่าทอง” ที่มีสัญลักษณ์ปรากฏบนปกอัลบั้มด้วยหุ่นขี้ผึ้ง (จากพิพิธภัณฑ์ Madame Tussauds) ของสมาชิกทั้งสี่คนที่ถูกเบียดให้ไปยืนอยู่ด้านข้าง การไว้หนวดครึ้มและการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดสื่อถึงวัฒนธรรมฮิปปี้ที่กลายเป็นกระแสนิยมในยุคนั้น ภาพหมู่ของบุคคลสำคัญประกอบด้วยภาพถ่าย 57 ภาพและภาพหุ่นขี้ผึ้งอีก 9 ภาพ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญหลากหลายจากวงการต่างๆที่มีทั้งนักแสดง นักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา กูรูลัทธิทางศาสนา นักเขียน นักร้องและนักแสดง ปกอัลบั้มนี้ได้รับรางวัล Grammy Award for Best Album Cover ในปี 1968 นอกจากนี้ ยังมีการนำเนื้อเพลงทุกเพลงมาพิมพ์ไว้บนปกหลังซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอัลบั้มเพลงร็อก
แม้ว่านักวิจารณ์บางส่วนจะบอกว่าคุณภาพโดยรวมของเพลงในอัลบั้มนี้อาจจะสู้อัลบั้มก่อนหน้าอย่าง Rubber Soul หรือ Revolver ไม่ได้ และลูกเล่นหลายอย่างในอัลบั้มนี้ The Beatles เคยลองมาแล้วในอัลบั้ม Rubber Soul และ Revolver แต่ในแง่ของความสำคัญทางประวัติศาสตร์วงการเพลงและด้านวัฒนธรรมคงปฏิเสธไม่ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลบั้มนี้ ทั้งในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกการทำ concept album (แม้จะยังไม่เต็มรูปแบบ) และความกล้าในการลองรูปแบบดนตรีใหม่ๆตลอดจนเทคนิคการอัดเสียงที่ต้องถือว่าเป็น state of the art ในยุคนั้น
ในแง่ของการแต่งเพลงที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นในอัลบั้มนี้ เห็นแนวโน้มมาตั้งแต่ Rubber Soul โดยเฉพาะการเล่นคำในลักษณะบทกวีในเพลงอย่าง Norwegian Wood หรือ In My Life แต่ในแง่ของการทดลองใช้เสียงดนตรีและเทคนิคการอัดเสียงที่ท้าทายมาเริ่มอย่างจริงจังในอัลบั้ม Revolver ซึ่งองค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ซึ่งปรากฏให้เห็นในสองอัลบั้มนี้ มาผสมผสานกันอย่างลงตัวในอัลบั้ม Sgt. Pepper
ไม่น่าเชื่อว่า Geoff Emerick วิศวกรเสียงมือใหม่ที่เริ่มทำงานในอัลบั้ม Revolver ตอนนั้นอายุแค่ 19 แต่ก็อาจจะเพราะความเยาว์วัยก็ได้ที่ทำให้กล้าลองของใหม่ๆ ยิ่งได้รับการกระตุ้นจาก The Beatles ที่คะยั้นคะยอให้ Geoff ทดลองทำเสียงกระตุ้นโสตประสาทในบรรยากาศภายใต้การเสพยาของสมาชิกวงซึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ในยุคแห่งการแสวงหาของพวกฮิปปี้ในช่วงนั้น
Geoff บอกว่าสมาชิกวงบอกเขาตอนเริ่มทำอัลบั้มนี้ว่า พวกเขาต้องการให้เสียงของดนตรีแต่ละชิ้นที่ออกมาฟังไม่เหมือนกับเสียงตามธรรมชาติของมัน พูดง่ายๆคือพวกเขาต้องการให้เสียงที่ได้จากเทคนิคที่ใช้ในสตูดิโอเป็นองค์ประกอบสำคัญของเพลงนั้นๆด้วย
สิ่งที่น่าจะทำให้อัลบั้ม Sgt. Pepper ดู “ขลัง” กว่าในสายตาของคนทั่วไปเป็นเพราะเทคนิคในการทำตลาด ไม่ว่าจะเป็นการแปลงโฉม The Beatles เป็นวงในจินตนาการ Sgt. Pepper การสร้างกระแสด้วยการปิดตัวทำอัลบั้มนี้นานถึง 5 เดือน ในขณะที่ Revolver ใช้เวลาเพียง 2 เดือนครึ่ง
อีกเหตุผลหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ได้ให้การต้อนรับ Revolver ดีนักตอนที่ออกมาอาจจะมาจากคำพูดที่ไม่ระวังปากของ John ที่บอกว่า “…We’re more popular than Jesus now…” ที่ถูกต่อต้านอย่างหนักในอเมริกา
โดยสรุปก็คือ หากมองในแง่พัฒนาการด้านดนตรี Revolver น่าจะถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในทิศทางการทำดนตรีของ The Beatles แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในแง่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ดนตรี Sgt. Pepper ช่วยยกระดับความเป็นศิลปะของดนตรีร็อกในสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง
วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560
Yesterday และ Georgia on My Mind: ความเหมือนที่แตกต่าง
They leave the West behind
And Moscow girls make me sing and shout
That Georgia's always on my mind…”
วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560
The Long and Winding Road: หนทางวิบากก่อนการแยกวง
บรรยากาศเครียดๆระหว่างการถ่ายทำสารคดี Get Back (Let It Be) |
Phil Spector |
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560
เฉลย Daily Quiz #8
โต๊ะที่ใช้ในการวาดภาพ วงกลมที่มีลายเซ็นตรงกลางคือจุดที่วางโคมไฟ |
ภาพเขียนนี้มีชื่อว่า “Images of a
Woman” ตรงกลางภาพจะเป็นวงกลมสีขาว (ที่ทั้งสี่คนเซ็นชื่อ)
เพราะเป็นจุดที่วางโคมไฟบนผืนผ้าใบ ทั้งสี่คนแบ่งกันวาดคนละมุม
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560
Lennon-McCartney คู่นักแต่งเพลง หยิน-หยาง ของวง The Beatles
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เวลาพูดถึง The Beatles คือมนต์เสน่ห์ของเพลงที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง John Lennon และ Paul McCartney แม้ว่าหลังจากแยกวงกันแล้ว ทั้งคู่จะยังสามารถผลิตผลงานเพลงเดี่ยวคุณภาพดีออกมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับผลงานตอนที่ยังเป็น The Beatles เราลองมาดูกันครับว่าอะไรคือที่มาของความพิเศษซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของทั้งคู่
ในแง่ของการแต่งทำนองเพลง John จะมีสไตล์ที่ค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีการเปลี่ยนระดับเสียง (pitch) มากเหมือนกับ Paul จนบางคนบอกว่าบางครั้งฟังเหมือนกำลังบ่นๆอยู่ ส่วนหนึ่ง อาจจะมาจากการที่ John ให้ความสำคัญกับเนื้อร้องมากเป็นพิเศษ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาต้องการให้เนื้อเพลงของเขาเป็นเหมือนบทกวีที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง ซึ่งก็สะท้อนตัวตนของ John ที่รักการแต่งโคลงกลอนมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังจะเห็นได้จากเพลง Strawberry Fields Forever, In My Life, Across the Universe, Norwegian Wood, I Am the Walrus
ต่างกับ Paul ที่มีพรสวรรค์ด้านการคิดทำนองเพลง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเมโลดี้ของ Paul เป็นไปตามทฤษฎีดนตรีมากกว่า คือจะมีการเรียบเรียงเสียงประสาน (harmonization) ที่เป็นไปตามหลักการทางดนตรี ทำให้ทำนองที่ออกมาฟังรื่นหูและติดหูง่ายกว่า ตัวอย่างเช่นเพลง Here, There and Everywhere, The Long and Winding Road, Eleanor Rigby, The Fool on the Hill, Penny Lane
สำหรับด้านเนื้อร้อง John มักจะเล่าเรื่องราวจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เขาต้องการสื่อจากประสบการณ์ชีวิตหรือความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง กามารมณ์ และการเรียกร้องสันติภาพ เขาชอบการเล่นคำและสำบัดสำนวน ชอบใช้คำพูดเสียดสีที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
ส่วน Paul ชอบแต่งเพลงจากมุมมองบุคคลที่สามโดยมักเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ จากจินตนาการเป็นส่วนใหญ่ เพลงของ Paul มักเป็นเพลงที่มองโลกในแง่ดี เขาชอบให้เพลงมีดราม่าและสร้างอารมณ์ให้กับผู้ฟัง ในขณะที่เพลงของ John จะทีเล่นทีจริงและใช้อารมณ์ขันในเชิงเสียดสี
ในด้านบุคลิกภาพแล้ว ทั้งคู่มีลักษณะที่ตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Paul มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เขามักจะพกสมุดบันทึกติดตัวเพื่อคอยจดเนื้อร้องหรือการเดินคอร์ด (chord changes) ที่นึกขึ้นได้ ผิดกับ John ที่ดูสับสนวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นประเภทที่ต้องคอยขอกระดาษและปากกาเพื่อจดไอเดียที่ผุดขึ้นมาในสมอง
Paul พูดจาสุภาพเหมือนนักการทูตและเป็นคนที่มีทักษะในการสื่อความที่ดี ส่วน John พูดจาไม่ค่อยระวังปากและบางทีก็ดูหยาบคายกับคู่สนทนา Paul เป็นคนใจเย็นที่มีความอดทน เขาจะรู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไรและพร้อมที่จะทุ่มเทเวลาให้กับมัน เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบฟังคำติเตียน ตรงกันข้ามกับ John ที่ไม่ค่อยมีความอดทนและเบื่อง่าย มักจะต้องการทำอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์และยินดีรับฟังความเห็นที่แตกต่าง
คงไม่ผิดนัก ถ้าจะต้องบอกว่าทั้งคู่เติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาด John ขาดวิธีคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความอดทนแบบ Paul ในขณะที่ Paul ได้ประโยชน์จากอารมณ์วูบวาบแบบศิลปินและวิธีคิดนอกกรอบของ John
มีนักวิจารณ์บางคนเรียกความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ของทั้งคู่ว่า “co-opetition” หรือการแข่งขันที่นำไปสู่ผลงานสร้างสรรค์ เมื่อฝ่ายหนึ่งคิดไอเดียหรือทำผลงานออกมาชิ้นหนึ่ง อีกฝ่ายจะถูกกระตุ้นให้พยายามแข่งขันเพื่อสร้างผลงานของตัวเองออกมาบ้าง ตัวอย่างในเรื่องนี้จะเห็นได้จากตอนที่ John แต่งเพลง Strawberry Fields Forever เพื่อเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเองในเมือง Liverpool กระตุ้นให้ Paul แต่งเพลงในทำนองเดียวกันคือ Penny Lane ออกมาบ้าง หรือตัวอย่างการแต่งเนื้อร้องเพลง Lucy in the Sky with Diamonds ด้วยการเล่นคำเพื่อบรรยายภาพในจินตนาการ เมื่อ Paul เริ่มด้วยคำว่า cellophane flowers และ newspaper taxis John ก็ไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการคิดคำว่า kaleidoscope eyes ขึ้นมาบ้าง Paul บอกว่าเขาทั้งสองมักจะแข่งกันแลกเปลี่ยนไอเดียเกี่ยวกับเนื้อร้องในลักษณะนี้อยู่ตลอดเวลา หรือแม้แต่การผสมผสานเพลงที่ต่างคนต่างแต่งเข้าด้วยกัน เช่นในเพลง A Day in the Life ซึ่งท่อนแยกในส่วนที่ Paul เป็นคนร้อง ท่อนที่เริ่มว่า “…Woke up, fell out of bed…” ความจริงเป็นอีกเพลงที่ Paul แต่งไว้ก่อนแล้ว แต่ก็สามารถนำมาผสมผสานเข้าในเพลงที่ John แต่งได้อย่างลงตัว
George Martin โปรดิวเซอร์ทุกสตูดิโออัลบั้มของ The Beatles ยกเว้น Let It Be เคยตั้งข้อสังเกตว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เทียบได้กับนักกีฬาในทีมชักเย่อที่ช่วยกันดึงเชือก ความตึงของเชือกระหว่างทั้งคู่เป็นสิ่งที่สร้างความแน่นแฟ้นให้กับความสัมพันธ์นี้ การที่ทั้งคู่เริ่มต้นมาจาการต้องร่วมเล่นดนตรีและร้องเพลงในคลับแบบทรหดในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งวงน่าจะเป็นที่มาสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ หรือพูดง่ายๆคือทั้งคู่รู้ใจกันดีจากการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันมาในอดีต
จากการผสมผสานกันอย่างลงตัวของความแตกต่างกันของทั้งคู่นี้เองที่เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้กับผลงานร่วม Lennon-McCartney ดังความเห็นของ John ในการให้สัมภาษณ์นิตยสาร Playboy เมื่อปี 1980 ที่ว่า "He provided a lightness, an optimism, while I would always go for the sadness, the discords, the bluesy notes…” (เขานำเสนอด้านสว่าง การมองโลกในแง่ดี ในขณะที่ผมชอบที่จะพูดถึงความเศร้า ความขัดแย้ง ใช้ตัวโน้ตแนวดนตรี blues…)
เมื่อคำรมคมคายและทัศนคติแดกดันของ John ที่แสดงออกมาในทางดนตรีผสมผสานเข้ากับความละมุนละไมและทำนองเสนาะหูของ Paul สิ่งที่ได้ก็คือผลงานการประพันธ์เพลงซึ่งคงเอกลักษณ์ที่ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลงแม้จะผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม
เฉลย Daily Quiz #7
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560
The Fifth Beatle
Stuart Sutcliffe (ขวาสุด) |
Pete Best มือกลองที่เล่นให้วงทั้งในลิเวอร์พูลและฮัมบูร์ก แต่ภายหลังถูก Brian Epstein (ด้วยความเห็นชอบของสมาชิกคนอื่น) ไล่ออกจากวงเพราะมองว่าฝีมือไม่ดีพอที่จะอัดแผ่นเสียงเชิงพาณิชย์ได้
Pete Best (มือกลอง) |
Brian Epstein |
George Martin |
Neil Aspinall |
Derek Taylor |
Tony Sheridan |
Billy Preston ระหว่างการอัดอัลบั้ม Let It Be (Get Back) |
Jimmie Nicol มือกลองสำรอง |
Eric Clapton (ซ้ายสุด) ระหว่างแจมเพลง Yer Blues กับ John Lennon, Keith Richards และ Mitch Mitchell เมื่อปี 1968 |
[หมายเหตุ Dick James เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Northern Songs ร่วมกับ John, Paul และ Epstein ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลผลประโยชน์ด้านลิขสิทธิ์เพลงของ The Beatles]
นอกจากนี้ เขายังไม่ให้ความสำคัญกับ George Martin ถึงกับเคยเขียนจดหมายคุยกับ Paul ว่า "When people ask me questions about 'What did George Martin really do for you?' I have only one answer, 'What does he do now?' I noticed you had no answer for that! It's not a putdown, it's the truth." (เมื่อคนถามผมว่า "George Martin ทำอะไรให้คุณบ้าง?" ผมคงจะย้อนถามว่า "แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่?" ผมคิดว่าคุณคงตอบไม่ได้! ผมไม่ได้ต้องการจะดูถูก แต่มันคือความจริง)
เฉลย Daily Quiz #6
คำตอบคือเพลง Because
เพลงนี้ John เกิดแรงบันดาลใจจากการได้ฟัง Yoko Ono เล่นเปียโนเพลง Moonlight Sonata ของ Beethoven คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบว่า Yoko นั้นมาจากตระกูลดี ตระกูลนายธนาคารญี่ปุ่น แต่ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดเพราะไปได้กับคนชั้นต่ำกว่าก่อนจะมารู้จักกับ John ฟังดูน้ำเน่า แต่เป็นเรื่องจริงครับ แสดงว่าYoko ต้องมีอะไรดีในตัว ไม่อย่างนั้น John คงไม่หลงใหลขนาดนั้น หรือบางคนอาจจะบอกว่าทั้งคู่บ้าพอกันก็ได้
John ฟังแล้วเกิดไอเดียให้ Yoko ลองเล่นเพลง (คอร์ด) กลับหลัง แล้ว John ก็ใช้การเดินคอร์ด (chord progression) ที่ได้มาใส่ทำนองและเนื้อร้องเข้าไป
เพลงนี้ร้องประสานเสียงแบบ 3-part harmony โดย John, Paul และ George ซึ่งบอกว่าเป็นเพลงโปรดของเขาในอัลบั้ม Abbey Road
วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เฉลย Daily Quiz #5
วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560
Daily Quiz #5
เฉลย Daily Quiz #4
เพลง Here, There and Everywhere ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม Revolver ที่วางตลาดในอังกฤษเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 1966
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เฉลย Daily Quiz #3
เฉลย Daily Quiz #2
ข่าว NBC |
ออกรายการ Ed Sullivan Show |
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เฉลย Daily Quiz #1
The Beatles in Concert
Shea Stadium, New York (15 ส.ค. 1965)
Germany Tour (มิ.ย. 1966)
คอนเสิร์ตเชิงพาณิชย์ครั้งสุดท้ายที่ Candlestick Park, San Francisco (29 ส.ค. 1966)