วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Lennon-McCartney คู่นักแต่งเพลง หยิน-หยาง ของวง The Beatles




สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เวลาพูดถึง The Beatles คือมนต์เสน่ห์ของเพลงที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง John Lennon และ Paul McCartney แม้ว่าหลังจากแยกวงกันแล้ว ทั้งคู่จะยังสามารถผลิตผลงานเพลงเดี่ยวคุณภาพดีออกมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับผลงานตอนที่ยังเป็น The Beatles เราลองมาดูกันครับว่าอะไรคือที่มาของความพิเศษซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของทั้งคู่

ในแง่ของการแต่งทำนองเพลง John จะมีสไตล์ที่ค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีการเปลี่ยนระดับเสียง (pitch) มากเหมือนกับ Paul จนบางคนบอกว่าบางครั้งฟังเหมือนกำลังบ่นๆอยู่ ส่วนหนึ่ง อาจจะมาจากการที่ John ให้ความสำคัญกับเนื้อร้องมากเป็นพิเศษ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาต้องการให้เนื้อเพลงของเขาเป็นเหมือนบทกวีที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง ซึ่งก็สะท้อนตัวตนของ John ที่รักการแต่งโคลงกลอนมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังจะเห็นได้จากเพลง Strawberry Fields Forever, In My Life, Across the Universe, Norwegian Wood, I Am the Walrus

ต่างกับ Paul ที่มีพรสวรรค์ด้านการคิดทำนองเพลง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเมโลดี้ของ Paul เป็นไปตามทฤษฎีดนตรีมากกว่า คือจะมีการเรียบเรียงเสียงประสาน (harmonization) ที่เป็นไปตามหลักการทางดนตรี ทำให้ทำนองที่ออกมาฟังรื่นหูและติดหูง่ายกว่า ตัวอย่างเช่นเพลง Here, There and Everywhere, The Long and Winding Road, Eleanor Rigby, The Fool on the Hill, Penny Lane

สำหรับด้านเนื้อร้อง John มักจะเล่าเรื่องราวจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เขาต้องการสื่อจากประสบการณ์ชีวิตหรือความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง กามารมณ์ และการเรียกร้องสันติภาพ เขาชอบการเล่นคำและสำบัดสำนวน ชอบใช้คำพูดเสียดสีที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน

ส่วน Paul ชอบแต่งเพลงจากมุมมองบุคคลที่สามโดยมักเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ จากจินตนาการเป็นส่วนใหญ่ เพลงของ Paul มักเป็นเพลงที่มองโลกในแง่ดี เขาชอบให้เพลงมีดราม่าและสร้างอารมณ์ให้กับผู้ฟัง ในขณะที่เพลงของ John จะทีเล่นทีจริงและใช้อารมณ์ขันในเชิงเสียดสี




ในด้านบุคลิกภาพแล้ว ทั้งคู่มีลักษณะที่ตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Paul มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เขามักจะพกสมุดบันทึกติดตัวเพื่อคอยจดเนื้อร้องหรือการเดินคอร์ด (chord changes) ที่นึกขึ้นได้ ผิดกับ John ที่ดูสับสนวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นประเภทที่ต้องคอยขอกระดาษและปากกาเพื่อจดไอเดียที่ผุดขึ้นมาในสมอง

Paul พูดจาสุภาพเหมือนนักการทูตและเป็นคนที่มีทักษะในการสื่อความที่ดี ส่วน John พูดจาไม่ค่อยระวังปากและบางทีก็ดูหยาบคายกับคู่สนทนา Paul เป็นคนใจเย็นที่มีความอดทน เขาจะรู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไรและพร้อมที่จะทุ่มเทเวลาให้กับมัน เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบฟังคำติเตียน ตรงกันข้ามกับ John ที่ไม่ค่อยมีความอดทนและเบื่อง่าย มักจะต้องการทำอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์และยินดีรับฟังความเห็นที่แตกต่าง

คงไม่ผิดนัก ถ้าจะต้องบอกว่าทั้งคู่เติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาด John ขาดวิธีคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความอดทนแบบ Paul ในขณะที่ Paul ได้ประโยชน์จากอารมณ์วูบวาบแบบศิลปินและวิธีคิดนอกกรอบของ John

มีนักวิจารณ์บางคนเรียกความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ของทั้งคู่ว่า “co-opetition” หรือการแข่งขันที่นำไปสู่ผลงานสร้างสรรค์ เมื่อฝ่ายหนึ่งคิดไอเดียหรือทำผลงานออกมาชิ้นหนึ่ง อีกฝ่ายจะถูกกระตุ้นให้พยายามแข่งขันเพื่อสร้างผลงานของตัวเองออกมาบ้าง ตัวอย่างในเรื่องนี้จะเห็นได้จากตอนที่ John แต่งเพลง Strawberry Fields Forever เพื่อเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเองในเมือง Liverpool กระตุ้นให้ Paul แต่งเพลงในทำนองเดียวกันคือ Penny Lane ออกมาบ้าง หรือตัวอย่างการแต่งเนื้อร้องเพลง Lucy in the Sky with Diamonds ด้วยการเล่นคำเพื่อบรรยายภาพในจินตนาการ เมื่อ Paul เริ่มด้วยคำว่า cellophane flowers และ newspaper taxis John ก็ไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการคิดคำว่า kaleidoscope eyes  ขึ้นมาบ้าง Paul บอกว่าเขาทั้งสองมักจะแข่งกันแลกเปลี่ยนไอเดียเกี่ยวกับเนื้อร้องในลักษณะนี้อยู่ตลอดเวลา หรือแม้แต่การผสมผสานเพลงที่ต่างคนต่างแต่งเข้าด้วยกัน เช่นในเพลง A Day in the Life ซึ่งท่อนแยกในส่วนที่ Paul เป็นคนร้อง ท่อนที่เริ่มว่า “…Woke up, fell out of bed…” ความจริงเป็นอีกเพลงที่ Paul แต่งไว้ก่อนแล้ว แต่ก็สามารถนำมาผสมผสานเข้าในเพลงที่ John แต่งได้อย่างลงตัว




George Martin โปรดิวเซอร์ทุกสตูดิโออัลบั้มของ The Beatles ยกเว้น Let It Be เคยตั้งข้อสังเกตว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เทียบได้กับนักกีฬาในทีมชักเย่อที่ช่วยกันดึงเชือก ความตึงของเชือกระหว่างทั้งคู่เป็นสิ่งที่สร้างความแน่นแฟ้นให้กับความสัมพันธ์นี้ การที่ทั้งคู่เริ่มต้นมาจาการต้องร่วมเล่นดนตรีและร้องเพลงในคลับแบบทรหดในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งวงน่าจะเป็นที่มาสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ หรือพูดง่ายๆคือทั้งคู่รู้ใจกันดีจากการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันมาในอดีต

จากการผสมผสานกันอย่างลงตัวของความแตกต่างกันของทั้งคู่นี้เองที่เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้กับผลงานร่วม Lennon-McCartney ดังความเห็นของ John ในการให้สัมภาษณ์นิตยสาร Playboy เมื่อปี 1980 ที่ว่า  "He provided a lightness, an optimism, while I would always go for the sadness, the discords, the bluesy notes…” (เขานำเสนอด้านสว่าง การมองโลกในแง่ดี ในขณะที่ผมชอบที่จะพูดถึงความเศร้า ความขัดแย้ง ใช้ตัวโน้ตแนวดนตรี blues…)

เมื่อคำรมคมคายและทัศนคติแดกดันของ John ที่แสดงออกมาในทางดนตรีผสมผสานเข้ากับความละมุนละไมและทำนองเสนาะหูของ Paul สิ่งที่ได้ก็คือผลงานการประพันธ์เพลงซึ่งคงเอกลักษณ์ที่ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลงแม้จะผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม



เฉลย Daily Quiz #7




คำตอบคือ The Long and Winding Road ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม Let It Be ที่ออกมาเป็นอัลบั้มสุดท้าย แต่อัดไว้ก่อนหน้าอัลบั้ม Abbey Road เป็นซิงเกิลที่ 20 และซิงเกิลสุดท้ายที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในอเมริกา

Paul ที่ปกติเป็นมือเบส เปลี่ยนเป็นเล่นเปียโนและร้องนำ เพลงนี้น่าจะเป็นบทเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งกันภายในวงก่อนที่สมาชิกจะต้องแยกทางกันไปในที่สุด เนื่องจากมีเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับเพลงนี้มากมาย ผมคิดว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับเพลงนี้โดยเฉพาะในโอกาสต่อไป กรุณาติดตามด้วยครับ


วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Daily Quiz #7

เพลงไหนของ The Beatles เป็นเพลงเดียวที่ John Lennon เล่น bass guitar?


วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

The Fifth Beatle

ใครสมควรได้การขนานนามว่าเป็น The Fifth Beatle หรือสมาชิกคนที่ 5 ของวงนี้และมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของ The Beatles เท่าที่ผมได้สำรวจดูจากข้อเขียนของนักวิจารณ์ต่างๆ พอจะแบ่งพวกที่เข้าข่ายเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

อดีตสมาชิก

Stuart Sutcliffe เป็นมือเบสดั้งเดิมตอนที่วงมีสมาชิก 5 คน (John, Paul, Stuart และ Pete Best) ระหว่างที่เล่นอยู่ตามคลับในฮัมบูร์ก เยอรมนี หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดสมองแตก วงตัดสินใจไม่หาสมาชิกทดแทน แต่เปลี่ยน Paul ให้ไปเล่นเบสแทน


Stuart Sutcliffe (ขวาสุด)

Pete Best มือกลองที่เล่นให้วงทั้งในลิเวอร์พูลและฮัมบูร์ก แต่ภายหลังถูก Brian Epstein (ด้วยความเห็นชอบของสมาชิกคนอื่น) ไล่ออกจากวงเพราะมองว่าฝีมือไม่ดีพอที่จะอัดแผ่นเสียงเชิงพาณิชย์ได้


Pete Best (มือกลอง)

กลุ่มผู้จัดการ โปรดิวเซอร์ หรือบริหารวงในด้านต่างๆ

Brian Epstein ต้องถือว่าเป็นผู้ที่ค้นพบ The Beatles และเป็นผู้จัดการวงในช่วงปี 1961-1967 Brian จะดูแลเฉพาะด้านธุรกิจและประชาสัมพันธ์ ให้อิสระกับวงอย่างเต็มที่ในการสร้างสรรค์ผลงาน การตายของเขาในปี 1967 ทำให้วงขาดจุดยึดเหนี่ยวร่วมกันและนำไปสู่การแตกวงในที่สุด Paul เคยให้สัมภาษณ์ BBC ว่า "If anyone was the fifth Beatle, it was Brian Epstein."

Brian Epstein
George Martin เป็นโปรดิวเซอร์เกือบทุกอัลบั้มของ The Beatles ยกเว้น Let It Be และเพลงที่ออกมาหลังการตายของ John นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงประกอบหนัง Yellow Submarine และเรียบเรียงเสียงประสานเครื่องสายและเครื่องเป่าในหลายๆเพลง โดยเฉพาะการบรรเลง string octet (เครื่องสาย 8 ชิ้น) ของเพลง Eleanor Rigby ความเชี่ยวชาญและความเข้าใจด้านดนตรีอย่างลึกซึ้งของ Martin ประกอบกับการเข้าถึงดนตรีในแนวที่ The Beatles เล่น ตลอดจนคำแนะนำต่างๆที่เขาให้กับวงในช่วงแรกๆน่าจะมีส่วนสำคัญในการวางพื้นฐานการพัฒนาด้านดนตรีของวง โดยเฉพาะของ John และ Paul ในเวลาต่อมา



George Martin
Neil Aspinall ผู้จัดการทั่วไปของวง เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับ Paul, George และ Pete Best ทำหน้าที่สารพัดแม้แต่ขับรถให้กับวง ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็น CEO ของ Apple Corps ในที่สุด


Neil Aspinall
Derek Taylor เป็นประชาสัมพันธ์ของวงและ ผจก. ส่วนตัวของ Brian Epstein  George Harrison เคยบอกว่าทั้ง Neil และ Derek สมควรจะถูกเรียกว่าเป็น The Fifth Beatles ทั้งคู่


Derek Taylor

กลุ่มนักดนตรีที่เคยร่วมงานกับ The Beatles

Tony Sheridan เป็นนักร้องนักดนตรีที่ The Beatles สมัยยังใช้ชื่อว่า The Beat Brothers เคยเล่นเป็นแบ็คอัพให้


Tony Sheridan
Billy Preston เล่นคีย์บอร์ดในอัลบั้ม Let It Be เขาเป็นเพียงหนึ่งใน 2 นักดนตรีที่ได้เครดิตมีชื่อลงบนปกอัลบั้มของ The Beatles อีกคนคือ Tony Sheridan แต่นั่นเป็นช่วงก่อนหน้าที่ The Beatles จะเริ่มดัง


Billy Preston ระหว่างการอัดอัลบั้ม Let It Be (Get Back)
Jimmie Nicol มือกลองที่เคยเล่นแทน Ringo อยู่ 13 วันขณะที่ป่วย


Jimmie Nicol มือกลองสำรอง
Eric Clapton เพื่อนสนิท ของ George Harrison ที่เขาชวนให้มาเล่นกีตาร์โซโลในเพลง While My Guitar Gently Weeps อัลบั้ม The Beatles (หรือ White Album)  Clapton เป็นนักดนตรีคนเดียวที่เคยเล่นในอัลบั้มเดี่ยวหลังแยกวงของสมาชิก The Beatles ครบทุกคน


Eric Clapton (ซ้ายสุด) ระหว่างแจมเพลง Yer Blues กับ John Lennon, Keith Richards และ Mitch Mitchell เมื่อปี 1968
John Lennon ไม่ชอบให้ใครมาอ้างว่ามีส่วนในความสำเร็จของ The Beatles รวมทั้งสมาชิกของวงเอง เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "I’m not the Beatles. I’m me. Paul isn’t the Beatles. Brian Epstein wasn’t the Beatles, neither is Dick James. The Beatles are the Beatles." (ผมไม่ใช่ The Beatles ผมก็คือผม Paul เองก็ไม่ใช่ Brian Epstein ก็ไม่ใช่ รวมทั้ง Dick James ด้วย The Beatles คือ The Beatles)
[หมายเหตุ  Dick James เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Northern Songs ร่วมกับ John, Paul และ Epstein ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลผลประโยชน์ด้านลิขสิทธิ์เพลงของ The Beatles]

นอกจากนี้ เขายังไม่ให้ความสำคัญกับ George Martin ถึงกับเคยเขียนจดหมายคุยกับ Paul ว่า "When people ask me questions about 'What did George Martin really do for you?' I have only one answer, 'What does he do now?' I noticed you had no answer for that! It's not a putdown, it's the truth." (เมื่อคนถามผมว่า "George Martin ทำอะไรให้คุณบ้าง?" ผมคงจะย้อนถามว่า "แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่?" ผมคิดว่าคุณคงตอบไม่ได้! ผมไม่ได้ต้องการจะดูถูก แต่มันคือความจริง)

ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นความเห็นที่แสดงถึงอัตตามากเกินไป เพราะการมี George Martin เป็น mentor ทำหน้าที่เหมือนพี่เลี้ยงทางด้านดนตรีน่าจะมีส่วนช่วยพัฒนาการด้านดนตรีในช่วงแรกๆของ John และ Paul โดยเฉพาะในด้านการแต่งเพลงและเทคนิคการอัดเสียงต่างๆ ถ้าไม่มี Martin อยู่ถูกที่ถูกเวลา เราอาจจะไม่ได้เห็นรูปแบบดนตรีของ The Beatles อย่างที่เป็นอยู่ก็ได้ ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า George Martin สมควรจะเป็น The Fifth Beatle มากที่สุดครับ


เฉลย Daily Quiz #6


คำตอบคือเพลง Because

เพลงนี้ John เกิดแรงบันดาลใจจากการได้ฟัง Yoko Ono เล่นเปียโนเพลง Moonlight Sonata ของ Beethoven คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบว่า Yoko นั้นมาจากตระกูลดี ตระกูลนายธนาคารญี่ปุ่น แต่ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดเพราะไปได้กับคนชั้นต่ำกว่าก่อนจะมารู้จักกับ John ฟังดูน้ำเน่า แต่เป็นเรื่องจริงครับ แสดงว่าYoko ต้องมีอะไรดีในตัว ไม่อย่างนั้น John คงไม่หลงใหลขนาดนั้น หรือบางคนอาจจะบอกว่าทั้งคู่บ้าพอกันก็ได้

John ฟังแล้วเกิดไอเดียให้ Yoko ลองเล่นเพลง (คอร์ด) กลับหลัง แล้ว John ก็ใช้การเดินคอร์ด (chord progression) ที่ได้มาใส่ทำนองและเนื้อร้องเข้าไป

เพลงนี้ร้องประสานเสียงแบบ 3-part harmony โดย John, Paul และ George ซึ่งบอกว่าเป็นเพลงโปรดของเขาในอัลบั้ม Abbey Road




วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Daily Quiz #6


เพลงไหนของ The Beatles ที่ได้รับอิทธิพลจาก Moonlight Sonata ของ Beethoven?


เฉลย Daily Quiz #5




ตามข้อมูลของเว็บไซต์ Songfacts คือเพลง And I Love Her มีการ cover ทั้งหมด  372 versions (นับถึงแค่ปี 1972)

แต่ถ้าตามข้อมูลของเว็บไซต์ชื่อประหลาด Mentalfloss บอกว่าเป็นเพลง Eleanor Rigby ซึ่งมี cover ทั้งหมด 131 ครั้งนับถึงปี 2009

สงสัยจะใช้เกณฑ์การนับที่แตกต่างกัน ก็เลือกเชื่อกันตามชอบใจละกันนะครับ



วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Daily Quiz #5

สมาชิกส่วนใหญ่คงทราบกันดีแล้วว่าเพลง Yesterday ของ The Beatles เป็นเพลงที่ถูกนำมา cover มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามบันทึกของ The Guinness Book Of World Records  บอกว่าเพลงนี้ถูก cover ไปแล้วมากกว่า 3,000 เวอร์ชัน

อยากทราบว่าเพลงไหนของ The Beatles ถูก cover มากเป็นอันดับสอง?


เฉลย Daily Quiz #4



เพลง Here, There and Everywhere ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม Revolver ที่วางตลาดในอังกฤษเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 1966

Paul ชอบเพลงนี้เพราะทุกองค์ประกอบของเพลงไม่ว่าจะเป็นเนื้อร้อง (John ช่วยแต่งเนื้อร้องตอนท้ายเล็กน้อย) ทำนองและการประสานเสียงลงตัวดี  Paul ยอมรับว่าการแต่งเพลงนี้ได้รับอิทธิพลบางส่วนจากเพลง God Only Knows ของ The Beach Boys โดยเฉพาะการที่เพลงนี้มีช่วง intro ก่อนจะเข้าสู่เนื้อร้องท่อนหลัก (To lead a better life, I need my love to be here...)

นอกจากนี้ เขายังบอกอีกว่าการเดินคอร์ดของเพลงนี้ได้รับอิทธิพลจากเพลงสไตล์ bossa nova จากบราซิลที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้น



วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Daily Quiz #4


เพลงของ The Beatles เพลงไหนเป็นเพลงโปรดของ Paul McCartney?



เฉลย Daily Quiz #3


(ต้องขออภัยด้วยครับที่เกิดข้อผิดพลาดในการตั้งคำถามนี้ ความจริงเพลงนี้ไม่ใช่เพลงเดียวที่ Paul แต่งเนื้อร้องก่อน แต่เป็นเพลงแรกที่เขาใช้เทคนิคนี้ ก่อนหน้านั้น เขามักจะแต่งทำนองก่อน ผมได้แก้ไขคำถามให้ถูกต้องแล้วครับ)

คำตอบคือเพลง All My Loving ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม With the Beatles ที่ออกวางตลาดในอังกฤษวันที่ 22 พ.ย. 1963

Paul เขียนเนื้อร้องเป็นบทกลอนบนรถบัสระหว่างการทัวร์ แต่ไปแต่งทำนองตอนถึงที่หมายแล้ว

Daily Quiz #3



ในช่วงแรก Paul McCartney สมัยที่ยังเป็นสมาชิก The Beatles มักจะแต่งเพลงโดยแต่งทำนองก่อนแล้วตามด้วยเนื้อร้อง แต่เพลงไหนเป็นเพลงแรกที่ Paul แต่งเนื้อร้องก่อน?


เฉลย Daily Quiz #2


The Beatles ไปออกรายการ The Ed Sullivan Show ทั้งหมด 3 ครั้งในวันที่ 9 ก.พ. 16 ก.พ. และ 23 ก.พ. 1964 สามสัปดาห์ติดต่อกัน แต่เป็นการไปปรากฏสดเพียงแค่สองครั้งแรก ครั้งที่สามเป็นเทปที่อัดไว้ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.

นอกจากนี้ The Ed Sullivan Show ไม่ใช่รายการทีวีรายการแรกที่นำ The Beatles ไปออกอากาศ รายการแรกที่นำไปออกคือรายการข่าว The Huntley Brinkley Report ของสถานีโทรทัศน์ NBC
ความดังของ The Beatles ทำให้สถานีโทรทัศน์อเมริกันหลายแห่งส่งทีมข่าวไปบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตของวงที่ Bournemouth (เมืองชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ) เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 1963 NBC รีบเอาฟิล์มบันทึกการแสดงความยาว 4 นาทีมาออกอากาศในรายการ The Huntley Brinkley Report ในวันที่ 18 พ.ย.

CBS เอาข่าวเดียวกันมาออกหลังจากนั้นในวันที่ 22 พ.ย. ในรายการข่าวช่วงเช้าของ Mike Wallace โดยที่ทางสถานีวางแผนจะนำมาออกอากาศอีกครั้งในตอนเย็นช่วงรายการข่าวของ Walter Cronkite แต่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดี Kennedy ที่ Dallas เสียก่อนหลังข่าวช่วงเช้าไม่กี่ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม ในที่สุด Cronkite ก็เอาข่าว The Beatles มาออกอากาศอีกครั้งในวันที่ 10 ธ.ค. ทำให้เกิดกระแส Beatlemania ดังไปทั่วอเมริกาจนนำไปสู่การถูกเชิญไปออกรายการ The Ed Sullivan Show ในเดือน ก.พ. 1964 แต่ถ้านับเฉพาะการถ่ายทอดสดทางทีวี ก็ต้องถือว่าการไปปรากฏตัวของ The Beatles ในรายการนี้ที่ Studio 50 ในนิวยอร์กเป็นครั้งแรกจริงๆ

ข่าว NBC

ออกรายการ Ed Sullivan Show



วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Daily Quiz #2



The Beatles ไปออกรายการ The Ed Sullivan Show ในอเมริกาทั้งหมดกี่ครั้ง?


เฉลย Daily Quiz #1


คำตอบคือเพลง I Want to Hold Your Hand ซึ่งเริ่มจากการที่ John และ Paul นั่งเล่นเปียโนอยู่ด้วยกันที่ใต้ถุนบ้านของ Jane Asher แฟนอย่างเปิดเผยคนแรกของ Paul

ทั้งสองคนช่วยกันคิดเนื้อเพลงประโยคแรกว่า “…Oh you…got that something…” แล้ว Paul ฮัมเนื้อเพลงนี้และเล่นคอร์ดแรกของเพลง (คอร์ด G) จากนั้นก็ช่วยกันแต่งจนจบภายในเวลาไม่นาน

การแต่งเพลงในยุคแรกๆของทั้งสองคนเป็นการช่วยกันแต่งจริงๆ ไม่ใช่ต่างคนต่างแต่งเหมือนในยุคหลัง

เพลงนี้เป็นเพลงฮิตเพลงแรกของ The Beatles ในอเมริกา มีเกร็ดเล็กน้อยว่าทางวงตกลงไปออกรายการ Ed Sullivan Show ก่อนที่เพลงนี้จะขึ้นถึงอันดับหนึ่งทำให้ได้ค่าตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น


Daily Quiz #1



เพลงไหนของ The Beatles ที่เกิดจากการแจมเปียโนระหว่าง John และ Paul?

สมาขิกคนใดทราบคำตอบ ก็เชิญแชร์ในบล็อกนี้ได้เลยนะครับ



The Beatles in Concert


ขอคัดภาพและลิงก์คลิปวิดีโอหรือการบันทึกเสียงจากการแสดงคอนเสิร์ตบางส่วนของ The Beatles มาให้ดูกันครับ


Sweden Tour (ต.ค. 1963)





1963 TV Concert (7 ธ.ค. 1963)

(เป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในช่วงบ่ายสำหรับสมาชิกแฟนเพลงที่เป็นสมาชิก Northern Area Fan Club จำนวน 2,500 คนของ The Beatles ที่ Liverpool's Empire TheatreโดยทางBBC ได้บันทึกไว้และนำมาออกอากาศในตอนค่ำวันเดียวกันโดยใช้ชื่อรายการว่า It's The Beatles)


Hollywood Bowl (23 ส.ค. 1964)









Netherlands Tour (5-6 มิ.ย. 1964)












Australia Tour (12-20 มิ.ย. 1964)






Shea Stadium, New York (15 ส.ค. 1965)











Germany Tour (มิ.ย. 1966)







Japan Tour (ก.ค. 1966)








คอนเสิร์ตเชิงพาณิชย์ครั้งสุดท้ายที่ Candlestick Park, San Francisco (29 ส.ค. 1966)







Rooftop Concert (30 ม.ค. 1969)

(ไม่จัดเป็นการจัดคอนเสิร์ตเชิงพาณิชย์ตามปกติ หากเป็นการแสดงสดเพื่อเป็นฉากไคลแม็กซ์ให้ภาพยนตร์กึ่งสารคดี Get Back เบื้องหลังการทำอัลบั้มชื่อเดียวกันซึ่งต่อมากลายมาเป็นอัลบั้ม Let It Be สำหรับรายละเอียดในเรื่องนี้ ผมจะได้นำมาเสนอโดยละเอียดในโอกาสต่อไปครับ)