ประวัติของวง ตอนที่ 3
ยุคที่ 2
ยุคฮิปปี้และอิทธิพลของยาเสพติดต่อการแต่งเพลงของ The Beatles
ผลงาน 2 อัลบั้มของวงในยุคนี้เกิดจากไอเดียของ Paul ที่ต้องการให้วงทำอะไรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ เขามีความรู้สึกว่าวงไม่ใช่ Mop Top (หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า “สี่เต่าทอง”) อีกต่อไปแล้ว พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านมากขึ้น พวกเขาไม่ต้องการสร้างผลงานเพียงเพื่อเอาใจกลุ่มวัยรุ่นอีกต่อไป และเพื่อให้สมาชิกคนอื่นรู้สึกอิสระอย่างเต็มที่ไม่ติดกับภาพเดิมๆของ The Beatles เขาเสนอว่าพวกเขาควรจะใช้ร่างสมมุติหรือ alter ego เป็นตัวแทนพวกเขาในอัลบั้มนี้ นับเป็นเรื่องน่าแปลกที่อาจจะมองได้ว่าการสร้าง alter ego ขึ้นมากลับทำให้พวกเขาสามารถแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมาได้
ความคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเมื่อตอนที่พวกเขาเริ่มต้นทำสตูดิโออัลบั้มที่ 8 ของ The Beatles มันเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาทำอัลบั้มนี้ไปได้ครึ่งทางแล้ว โดยไอเดียเรื่อง alter ego เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับจากการพักผ่อนในแอลจีเรียของ Paul ตอนปลายปี 1966 แต่มาตกผลึกเต็มที่ในตอนต้นปี 1967 โดย Paul เสนอไอเดียนี้กับ George Martin ซึ่งชอบแนวคิดนี้ จากนั้นเป็นต้นมา แนวทางการทำอัลบั้มนี้ก็เปลี่ยนไป
นี่จึงเป็นที่มาของชื่อวงในจินตนาการว่า Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band และที่ใช้ชื่อยาวแบบนี้เพราะตอนนั้นกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่วงดนตรีที่เกิดขึ้นมามักจะใช้ชื่อยาวๆกัน ตัวอย่างเช่น Dr. Hook and the Medicine Show หรืออะไรทำนองนั้น
ความจริง อัลบั้มนี้ไม่ใช่อัลบั้มแรกที่ The Beatles เริ่มเปลี่ยนแนวดนตรีของพวกเขา ความเปลี่ยนแปลงเริ่มจะเห็นได้ตั้งแต่อัลบั้ม Rubber Soul ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มผสมผสานแนวดนตรีอื่นๆนอกจากป็อป เช่น โฟล์คมิวสิคหรือโซลเข้ามาซึ่งสะท้อนอยู่ในชื่ออัลบั้ม Rubber Soul ยังเป็นอัลบั้มแรกที่พวกเขาใช้เวลาในการผลิตแบบต่อเนื่องอย่างมีเอกภาพ นับเป็นต้นแบบของ concept album ที่เริ่มใช้ในอัลบั้ม Sgt. Pepper ในเวลาต่อมา
แนวทางเหล่านี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอัลบั้มต่อมาคือ Revolver ซึ่งมีการใช้เทคนิคการอัดเสียงที่แปลกใหม่อย่าง tape loop เพื่อให้เล่นวนดนตรีในบางช่วงและการเล่นเทปกลับหลังในเพลงแนว psychedelic อย่าง Tomorrow Never Knows หรือการใช้ string octet สไตล์คลาสสิกในเพลง Eleanor Rigby นวัตกรรมการบันทึกเสียงต่างๆเหล่านี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่เริ่มนำไปใช้กันในวงการ
คราวนี้เรามาลองดูสองอัลบั้มที่เป็นผลงานของ The Beatles ในยุคที่อบอวลด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมของบุปผาชนในช่วงนั้นกันครับ
Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band (มิ.ย. 1967) รวมซิงเกิล Strawberry Fields Forever / Penny Lane (เป็น Double A-side single)
ปกอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ที่ออกมาครั้งแรกในระบบเสียง mono
แม้ว่าอัลบั้มนี้จะไม่ใช่อัลบั้มในแบบ concept album
อย่างแท้จริงเพราะไม่ได้มีธีมหลักในการนำเสนอแนวคิดใดๆอย่างชัดเจน (มีเพียงแทร็กเปิดอัลบั้มซึ่งสร้างบรรยากาศให้ฟังดูเหมือนการแสดงสดและเพลงก่อนสุดท้ายซึ่งมีชื่อเดียวกับอัลบั้มบวกกับเพลง
With A Little Help From My Friends
เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับวงในจินตนาการ Sgt. Pepper) แต่ก็ต้องถือเป็นต้นแบบของอัลบั้มประเภทนี้เพราะใช้วงในจินตนาการอย่าง Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ในการบอกเล่าเรื่องราวหลากหลายในอัลบั้ม
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอในรูปแบบนี้ในวงการเพลงป็อป
จึงถือเป็นการบุกเบิกอย่างแท้จริง
สองเพลงแรกที่เกิดจากไอเดียนี้คือเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมือง
Liverpool ได้แก่ เพลง Strawberry Fields Forever และ Penny Lane แต่เนื่องจากเหตุผลเชิงพาณิชย์ EMI ต้องการให้ออกสองเพลงนี้มาในรูป double A-side single สองเพลงนี้จึงถูกตัดออกไปจากอัลบั้ม
ซึ่งโปรดิวเซอร์ George Martin ยอมรับในภายหลังว่านับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
อิทธิพลสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้ Paul เกิดไอเดียเกี่ยวกับอัลบั้มนี้คือการที่เขาได้ฟังอัลบั้ม
Pet Sounds ของวง The Beach Boys ซึ่งมี Brian
Wilson เป็นหัวหน้าวง ในอัลบั้ม Pet
Sounds Wilson ผสมผสานการใช้วงออร์เครสตราขนาดใหญ่ในสไตล์ที่โปรดิวเซอร์
Phil Spector (ที่เรียกกันว่า Wall of Sound หรือ Big
Sound) นิยมใช้เข้ากับแนวเพลงในอัลบั้ม Rubber Soul ซึ่ง Wilson
ชื่นชอบ Paul ชอบอัลบั้ม
Pet Sounds และแนวการผลิตอัลบั้มนี้ของ
Wilson ที่มีความสามารถทั้งทางด้านการแต่งเพลงและเรียบเรียงเสียงประสาน
George Martin เชื่อว่าไอเดียในการทำอัลบั้ม
Sgt. Pepper เกิดจากอิทธิพลจากอัลบั้ม
Pet Sounds ที่มีต่อ Paul
อัลบั้ม Pet Sounds ของ The Beach Boys ที่มีอิทธิพลต่อ Paul ในการทำอัลบั้ม Sgt. Pepper
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลเนื่องจากอิทธิพลของมันที่มีต่อวงการในเวลาต่อมา
ไม่ว่าจะเป็นต้นแบบ concept album
ที่นำไปสู่ยุค album era ที่ศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงาน
แทนที่จะต้องถูกพันธนาการด้วยการมุ่งผลิตเพลงในรูปแบบของซิงเกิลที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการนำเสนอเพียงอย่างเดียว
การออกอัลบั้มส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการรวมเอาเพลงที่ออกเป็นแผ่นซิงเกิลมาแล้วเข้าด้วยกันแล้วเพิ่มเพลงที่มีคุณภาพด้อยกว่าเพียงเพื่อ
“เติม” อัลบั้มให้เต็มเท่านั้น The Beatles ไม่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้เพราะมองว่าเป็นการเอาเปรียบแฟนเพลงที่ต้องเสียเงินซื้อเพลงเดียวกันถึงสองหน
นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สองเพลงที่ผลิตขึ้นมาก่อนหน้าและถูกนำไปทำเป็นซิงเกิล Strawberry Fields Forever / Penny Lane ไม่ถูกเอากลับมารวมในอัลบั้ม
Sgt. Pepper นี่นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำอัลบั้มเพลงป็อป
เพราะมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์วงการเพลงป็อปที่เราจะแยกได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือ
“ยุคก่อน” และ “ยุคหลัง” อัลบั้ม Sgt. Pepper ถือเป็นเส้นแบ่งยุคที่เห็นได้อย่างชัดเจน
อัลบั้ม Sgt. Pepper ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของยุคฮิปปี้ที่คนหนุ่มสาวในยุคนั้นปฏิเสธวัฒนธรรมดั้งเดิมและต้องการมองหาสิ่งใหม่ๆให้กับสังคม
เป็นยุคแห่งการแสวงหาและไม่ยอมรับคิดแบบเก่าๆหรือที่เรียกกันว่า counterculture มีเพลงซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่าง
Lucy In The Sky With Diamonds (ซึ่งย่อได้เป็น
LSD
ยาเสพติดที่นิยมกันในหมู่ฮิปปี้ในยุคนั้น) หรือ With A Little Help From My Friends (ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่บอกว่า “I get high” ซึ่งเป็นคำสแลงหมายถึงกำลังเมายา หรือ “take some
tea” ซึ่งอาจจะหมายถึงการพี้กัญชา)
หรือแม้แต่ปกอัลบั้มที่ออกแนว psychedelic ที่ฉีกแนวจากปกอัลบั้มป็อปทั่วไป
(ความจริงแนวโน้มนี้เริ่มเห็นได้ตั้งแต่อัลบั้มก่อนหน้าคือ Revolver ซึ่งใช้ลายเส้นสีขาวดำ)
แต่หากมองในเนื้อหาของหลายเพลงในอัลบั้มนี้แล้ว
เรากลับพบว่าเพลงส่วนใหญ่ยังมีเนื้อหาที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เช่น เพลง She’s Leaving Home และเพลง When I’m Sixty-Four ที่ยังมีมุมมองของคนรุ่นเก่า
หรือแม้แต่เพลง Fixing Hole ก็เป็นการบอกเล่าเรื่องราวธรรมดาสามัญของการใช้ชีวิตของคนทั่วไป
เนื้อหาเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะกับอัลบั้มที่ออกมาในช่วง Summer
of Love ปี 1967 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางวัฒนธรรมในยุคแห่งการแสวงหาของเหล่าบุปผาชน
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างแท้จริงของอัลบั้มนี้คือรูปแบบดนตรีที่แม้นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งจะบอกว่าเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ไม่ใช่เพลงที่เพราะและชวนจดจำมากเท่ากับอัลบั้มก่อนหน้าของ
The Beatles ไม่ว่าจะเป็น Rubber Soul หรือ Revolver
แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิจารณ์เห็นพ้องกันคือความกล้าในการลองและผสมผสานรูปแบบดนตรีหลากหลาย
เช่น rock, jazz, blues, avant-garde เป็นต้น นับได้ว่าเป็นต้นแบบของ progressive
rock ในเวลาต่อมา มีการใช้เทคนิคการอัดเสียงใหม่ๆที่
เช่น การตัดต่อเทปให้เล่นวนหรือ loop tape การสร้างเอฟเฟกต์ด้วยการเล่นเทปกลับหลัง การผสมเสียงของเทปจากการอัดสองครั้งที่จังหวะและระดับความถี่เสียง
(pitch) ที่แตกต่างกัน
เทคนิคต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่ลูกเล่นเท่านั้น แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งเพลงเพราะเป็นการใช้เอฟเฟกต์เพื่อให้เกิดอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้ฟังที่สอดคล้องกับเนื้อหาของเพลง
มีรูปแบบที่คล้ายกับการสร้างงานศิลปะแนว avant-garde ซึ่งมีอิทธิพลมากในยุคนั้น โดยเฉพาะเทคนิคแบบ collage
ที่สร้างงานศิลปะขึ้นใหม่จากการผสมผสานและดัดแปลงงานศิลปะแบบเก่าเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ Sgt. Pepper ยังเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่มีช่องว่างระหว่างแต่ละแทร็ก
โดยเมื่อแทร็กหนึ่งจบจะเริ่มอีกแทร็กหนึ่งทันทีโดยไม่มีช่วงหยุดระหว่างเพลงทำให้อารมณ์ในการฟังเพลงเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด
เพลงที่เป็น highlight ของอัลบั้มนี้คือเพลง A Day In The Life ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มต่อจากแทร็กเพลงซ้ำ Sgt. Pepper (Reprise) เพื่อให้สะท้อนถึงจุดจบของเรื่องราวในจินตนาการและการกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน ประกอบด้วยท่อนหลัก 4 ท่อน ท่อน bridge ท่อนที่แปลกและค่อนข้าง abstract คือช่วงที่บรรเลงด้วยออร์เครสตราใช้เครื่องดนตรี
40 ชิ้นแบบให้อิสระกับนักดนตรีในการไล่โน้ตจากต่ำไปสูงซึ่งมีความยาวทั้งหมด 24
ห้อง สอดแทรกด้วยท่อนกลางที่ Paul เป็นคนแต่งและร้อง
ส่วนที่เหลือของเพลงแต่งโดย John จากเรื่องราวที่เขาอ่านพบในหนังสือพิมพ์
เนื้อเพลงช่วงก่อนเข้าสู่การบรรเลงแบบอิสระของออร์เครสตรามีข้อความว่า “…I love to turn you on..” ซึ่ง BBC ในสมัยนั้นมองว่าหยาบคายเกินไป เป็นเหตุให้เพลงนี้ถูกแบนไม่ให้ออกอากาศ
เพลงจบลงด้วยคอร์ด E major ที่ดังอยู่เกือบหนึ่งนาทีเต็ม คอร์ดนี้เล่นด้วยเปียโน 3 หลังผสมด้วยเสียงของ harmonium (ออร์แกนโบราณชนิดหนึ่ง)
และใช้เทคนิคในการอัดที่ช่วยให้ลากเสียงคอร์ดสุดท้ายออกไปนานถึงกว่า 40 วินาที
มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเพลงนี้ว่า ในตอนแรก
เพลงปิดอัลบั้มควรจะเป็น Sgt. Pepper (Reprise) เพราะจะเป็นไปตาม concept
ที่ให้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยวง Sgt. Pepper แต่เมื่อโปรดิวเซอร์ George Martin ได้ฟังคอร์ดสุดท้ายของเพลง A Day In The Life แล้ว เขาคิดว่าเสียงทอดยาวของคอร์ดนี้ควรจะเป็นคอร์ดสุดท้ายของอัลบั้มนี้
ไม่มีอะไรจะมาแทนมันได้
ต่อจากเพลงสุดท้าย The
Beatles ใส่เสียงเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการอัดเสียงพูดของ John ว่า “been so high”
และของ Paul
ว่า “never could have been any other way” พร้อมเสียงหัวเราะที่เล่นกลับหลังและวนไปมา เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังทิ้งลูกเล่นสุดท้ายไว้ในร่องแผ่นเสียงร่องสุดท้ายซึ่งในสมัยนั้นเครื่องเล่นจานเสียงยังไม่มีระบบยกหัวเข็มแบบอัตโนมัติ
ดังนั้น ถ้าใครทิ้งหัวเข็มค้างไว้ จะมีเสียงความถี่สูง 15 กิโลเฮิร์ทซ์ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์ไม่ได้ยินแต่จะเป็นเสียงที่กวนประสาทสุนัขแบบสุดๆ
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าไอเดียเรื่องการใช้เทคนิคการอัดเสียงแบบแปลกๆในแผ่นนี้น่าจะมาจากจินตนาการของคนที่กำลังเมายาและเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะสมัยใหม่แบบ
avant-garde
แม้แต่ปกอัลบั้มนี้ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย
อย่างแรกที่มักพูดถึงกันคือการสื่อด้วยภาพของวงในจินตนาการ Sgt. Pepper ที่มีการแต่งกายรวมทั้งการไว้ทรงผมและหนวดเคราที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์
“mop tops” หรือ “สี่เต่าทอง” ที่มีสัญลักษณ์ปรากฏบนปกอัลบั้มด้วยหุ่นขี้ผึ้ง
(จากพิพิธภัณฑ์ Madame Tussauds) ของสมาชิกทั้งสี่คนที่ถูกเบียดให้ไปยืนอยู่ด้านข้าง
การไว้หนวดครึ้มและการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดสื่อถึงวัฒนธรรมฮิปปี้ที่กลายเป็นกระแสนิยมในยุคนั้น
ภาพหมู่ของบุคคลสำคัญประกอบด้วยภาพถ่าย 57 ภาพและภาพหุ่นขี้ผึ้งอีก 9
ภาพซึ่งเป็นบุคคลสำคัญหลากหลายจากวงการต่างๆซึ่งรวมทั้งนักแสดง นักวิทยาศาสตร์
นักกีฬา กูรูลัทธิทางศาสนา นักเขียน นักร้องและนักแสดงปกอัลบั้มนี้ได้รับรางวัล Grammy Award for Best Album Cover ในปี 1968 นอกจากนี้
ยังมีการนำเนื้อเพลงทุกเพลงมาพิมพ์ไว้บนปกหลังซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอัลบั้มเพลงร็อก
ระหว่างการโปรโมทอัลบั้ม Sgt. Pepper
เหตุผลที่อัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องจากหลายสำนักให้เป็นอัลบั้มร็อกยอดเยี่ยมตลอดกาลน่าจะเป็นเพราะการที่เป็นอัลบั้มที่ทรงคุณค่าในด้านการยกระดับดนตรีป็อปจนเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้อีกต่อไป
ความเป็นผู้บุกเบิก album era ที่ปลดปล่อยศิลปินจากพันธนาการเชิงพาณิชย์ยุคที่ยังเน้นแต่แผ่นซิงเกิล
และที่สำคัญที่สุด Sgt. Pepper เป็นอัลบั้มซึ่งนับเป็น
iconic album ที่เป็นตัวแทนสะท้อนความเป็นไปทางวัฒนธรรมและสังคมในยุคทศวรรษที่
60 ในปี 2003 นิตยสาร Rolling Stone จัดให้เป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งของรายชื่อ 500 Greatest
Albums of All Time และในปีเดียวกัน Library of Congress ของอเมริกาบรรจุอัลบั้มนี้ในทำเนียบ
National Recording Registry เพื่อให้เกียรติถึงความเป็นอัลบั้มที่มีความสำคัญทางศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
ในเชิงพาณิชย์ อัลบั้มนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง ขายไปทั่วโลกแล้วกว่า 32
ล้านแผ่น
อย่างไรก็ตาม Paul
McCartney พูดถึงอัลบั้มนี้อย่างถ่อมตัวว่าเขาเชื่อว่าหลายๆอย่างที่พวกเขาใส่ไว้ในอัลบั้มนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่แล้วในยุคนั้น
The Beatles เป็นเพียงผู้ที่สามารถนำเสนออิทธิพลต่างๆที่ได้รับจากศิลปวัฒนธรรมในยุคนั้นจนทำให้เกิดกระแสนิยมกันอย่างกว้างขวาง
มีเกร็ดเล็กน้อยสำหรับเพื่อนสมาชิกที่เป็นคอเพลงพันธุ์แท้ที่ต้องการฟังเพลงจากต้นฉบับที่มาจากการอัดเสียงในครั้งแรกจริงๆ
ไม่ใช่การมามิกซ์เสียงในภายหลัง อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มสุดท้ายของ The Beatles ที่ต้นฉบับเป็นการอัดในระบบโมโน ส่วนเวอร์ชั่นที่เป็นสเตอริโอนั้นเป็นการมามิกซ์เสียงในภายหลัง
มีนักวิจารณ์ส่วนหนึ่งบอกว่าหากต้องการอรรถรสที่แท้จริงจากอัลบั้มนี้
ควรจะฟังอัลบั้มในระบบโมโนเพราะมิติเสียงที่อออกมาจะเป็นไปตามความตั้งใจของนักดนตรีและโปรดิวเซอร์มากกว่า
ในขณะที่เอฟเฟกต์เสียงในระบบสเตอริโอจะให้ความรู้สึกของความเป็น
psychedelic มากกว่า
เช่นการที่เสียงวิ่งไปมาระหว่างลำโพงซ้ายขวาทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนพวกกำลังเพลินจากอิทธิพลของการเสพยา
แต่เวอร์ชั่นโมโนจะให้ความรู้สึกที่ดิบเป็น rock มากกว่า ก็ลองไปหามาฟังกันดูนะครับว่าจะเป็นอย่างที่เขาว่าหรือไม่
คงจะเหมือนการได้กลับไปสัมผัสกับอัลบั้มนี้เป็นครั้งแรก
ประวัติของวง ตอนที่ 3
ยุคที่ 2 ยุคฮิปปี้และอิทธิพลของยาเสพติดต่อการแต่งเพลงของ The Beatles
ผลงาน 2 อัลบั้มของวงในยุคนี้เกิดจากไอเดียของ Paul ที่ต้องการให้วงทำอะไรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ เขามีความรู้สึกว่าวงไม่ใช่ Mop Top (หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า “สี่เต่าทอง”) อีกต่อไปแล้ว พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านมากขึ้น พวกเขาไม่ต้องการสร้างผลงานเพียงเพื่อเอาใจกลุ่มวัยรุ่นอีกต่อไป และเพื่อให้สมาชิกคนอื่นรู้สึกอิสระอย่างเต็มที่ไม่ติดกับภาพเดิมๆของ The Beatles เขาเสนอว่าพวกเขาควรจะใช้ร่างสมมุติหรือ alter ego เป็นตัวแทนพวกเขาในอัลบั้มนี้ นับเป็นเรื่องน่าแปลกที่อาจจะมองได้ว่าการสร้าง alter ego ขึ้นมากลับทำให้พวกเขาสามารถแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมาได้
ความคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเมื่อตอนที่พวกเขาเริ่มต้นทำสตูดิโออัลบั้มที่ 8 ของ The Beatles มันเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาทำอัลบั้มนี้ไปได้ครึ่งทางแล้ว โดยไอเดียเรื่อง alter ego เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับจากการพักผ่อนในแอลจีเรียของ Paul ตอนปลายปี 1966 แต่มาตกผลึกเต็มที่ในตอนต้นปี 1967 โดย Paul เสนอไอเดียนี้กับ George Martin ซึ่งชอบแนวคิดนี้ จากนั้นเป็นต้นมา แนวทางการทำอัลบั้มนี้ก็เปลี่ยนไป
นี่จึงเป็นที่มาของชื่อวงในจินตนาการว่า Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band และที่ใช้ชื่อยาวแบบนี้เพราะตอนนั้นกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่วงดนตรีที่เกิดขึ้นมามักจะใช้ชื่อยาวๆกัน ตัวอย่างเช่น Dr. Hook and the Medicine Show หรืออะไรทำนองนั้น
ความจริง อัลบั้มนี้ไม่ใช่อัลบั้มแรกที่ The Beatles เริ่มเปลี่ยนแนวดนตรีของพวกเขา ความเปลี่ยนแปลงเริ่มจะเห็นได้ตั้งแต่อัลบั้ม Rubber Soul ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มผสมผสานแนวดนตรีอื่นๆนอกจากป็อป เช่น โฟล์คมิวสิคหรือโซลเข้ามาซึ่งสะท้อนอยู่ในชื่ออัลบั้ม Rubber Soul ยังเป็นอัลบั้มแรกที่พวกเขาใช้เวลาในการผลิตแบบต่อเนื่องอย่างมีเอกภาพ นับเป็นต้นแบบของ concept album ที่เริ่มใช้ในอัลบั้ม Sgt. Pepper ในเวลาต่อมา
แนวทางเหล่านี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอัลบั้มต่อมาคือ Revolver ซึ่งมีการใช้เทคนิคการอัดเสียงที่แปลกใหม่อย่าง tape loop เพื่อให้เล่นวนดนตรีในบางช่วงและการเล่นเทปกลับหลังในเพลงแนว psychedelic อย่าง Tomorrow Never Knows หรือการใช้ string octet สไตล์คลาสสิกในเพลง Eleanor Rigby นวัตกรรมการบันทึกเสียงต่างๆเหล่านี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่เริ่มนำไปใช้กันในวงการ
คราวนี้เรามาลองดูสองอัลบั้มที่เป็นผลงานของ The Beatles ในยุคที่อบอวลด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมของบุปผาชนในช่วงนั้นกันครับ
Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band (มิ.ย. 1967) รวมซิงเกิล Strawberry Fields Forever / Penny Lane (เป็น Double A-side single)
ปกอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ที่ออกมาครั้งแรกในระบบเสียง mono |
แม้ว่าอัลบั้มนี้จะไม่ใช่อัลบั้มในแบบ concept album อย่างแท้จริงเพราะไม่ได้มีธีมหลักในการนำเสนอแนวคิดใดๆอย่างชัดเจน (มีเพียงแทร็กเปิดอัลบั้มซึ่งสร้างบรรยากาศให้ฟังดูเหมือนการแสดงสดและเพลงก่อนสุดท้ายซึ่งมีชื่อเดียวกับอัลบั้มบวกกับเพลง With A Little Help From My Friends เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับวงในจินตนาการ Sgt. Pepper) แต่ก็ต้องถือเป็นต้นแบบของอัลบั้มประเภทนี้เพราะใช้วงในจินตนาการอย่าง Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ในการบอกเล่าเรื่องราวหลากหลายในอัลบั้ม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอในรูปแบบนี้ในวงการเพลงป็อป จึงถือเป็นการบุกเบิกอย่างแท้จริง
สองเพลงแรกที่เกิดจากไอเดียนี้คือเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมือง
Liverpool ได้แก่ เพลง Strawberry Fields Forever และ Penny Lane แต่เนื่องจากเหตุผลเชิงพาณิชย์ EMI ต้องการให้ออกสองเพลงนี้มาในรูป double A-side single สองเพลงนี้จึงถูกตัดออกไปจากอัลบั้ม
ซึ่งโปรดิวเซอร์ George Martin ยอมรับในภายหลังว่านับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
อิทธิพลสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้ Paul เกิดไอเดียเกี่ยวกับอัลบั้มนี้คือการที่เขาได้ฟังอัลบั้ม Pet Sounds ของวง The Beach Boys ซึ่งมี Brian Wilson เป็นหัวหน้าวง ในอัลบั้ม Pet Sounds Wilson ผสมผสานการใช้วงออร์เครสตราขนาดใหญ่ในสไตล์ที่โปรดิวเซอร์ Phil Spector (ที่เรียกกันว่า Wall of Sound หรือ Big Sound) นิยมใช้เข้ากับแนวเพลงในอัลบั้ม Rubber Soul ซึ่ง Wilson ชื่นชอบ Paul ชอบอัลบั้ม Pet Sounds และแนวการผลิตอัลบั้มนี้ของ Wilson ที่มีความสามารถทั้งทางด้านการแต่งเพลงและเรียบเรียงเสียงประสาน George Martin เชื่อว่าไอเดียในการทำอัลบั้ม Sgt. Pepper เกิดจากอิทธิพลจากอัลบั้ม Pet Sounds ที่มีต่อ Paul
อัลบั้ม Pet Sounds ของ The Beach Boys ที่มีอิทธิพลต่อ Paul ในการทำอัลบั้ม Sgt. Pepper |
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลเนื่องจากอิทธิพลของมันที่มีต่อวงการในเวลาต่อมา
ไม่ว่าจะเป็นต้นแบบ concept album
ที่นำไปสู่ยุค album era ที่ศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงาน
แทนที่จะต้องถูกพันธนาการด้วยการมุ่งผลิตเพลงในรูปแบบของซิงเกิลที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการนำเสนอเพียงอย่างเดียว
การออกอัลบั้มส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการรวมเอาเพลงที่ออกเป็นแผ่นซิงเกิลมาแล้วเข้าด้วยกันแล้วเพิ่มเพลงที่มีคุณภาพด้อยกว่าเพียงเพื่อ
“เติม” อัลบั้มให้เต็มเท่านั้น The Beatles ไม่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้เพราะมองว่าเป็นการเอาเปรียบแฟนเพลงที่ต้องเสียเงินซื้อเพลงเดียวกันถึงสองหน
นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สองเพลงที่ผลิตขึ้นมาก่อนหน้าและถูกนำไปทำเป็นซิงเกิล Strawberry Fields Forever / Penny Lane ไม่ถูกเอากลับมารวมในอัลบั้ม
Sgt. Pepper นี่นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำอัลบั้มเพลงป็อป
เพราะมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์วงการเพลงป็อปที่เราจะแยกได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือ
“ยุคก่อน” และ “ยุคหลัง” อัลบั้ม Sgt. Pepper ถือเป็นเส้นแบ่งยุคที่เห็นได้อย่างชัดเจน
อัลบั้ม Sgt. Pepper ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของยุคฮิปปี้ที่คนหนุ่มสาวในยุคนั้นปฏิเสธวัฒนธรรมดั้งเดิมและต้องการมองหาสิ่งใหม่ๆให้กับสังคม เป็นยุคแห่งการแสวงหาและไม่ยอมรับคิดแบบเก่าๆหรือที่เรียกกันว่า counterculture มีเพลงซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่าง Lucy In The Sky With Diamonds (ซึ่งย่อได้เป็น LSD ยาเสพติดที่นิยมกันในหมู่ฮิปปี้ในยุคนั้น) หรือ With A Little Help From My Friends (ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่บอกว่า “I get high” ซึ่งเป็นคำสแลงหมายถึงกำลังเมายา หรือ “take some tea” ซึ่งอาจจะหมายถึงการพี้กัญชา) หรือแม้แต่ปกอัลบั้มที่ออกแนว psychedelic ที่ฉีกแนวจากปกอัลบั้มป็อปทั่วไป (ความจริงแนวโน้มนี้เริ่มเห็นได้ตั้งแต่อัลบั้มก่อนหน้าคือ Revolver ซึ่งใช้ลายเส้นสีขาวดำ)
อัลบั้ม Sgt. Pepper ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของยุคฮิปปี้ที่คนหนุ่มสาวในยุคนั้นปฏิเสธวัฒนธรรมดั้งเดิมและต้องการมองหาสิ่งใหม่ๆให้กับสังคม เป็นยุคแห่งการแสวงหาและไม่ยอมรับคิดแบบเก่าๆหรือที่เรียกกันว่า counterculture มีเพลงซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่าง Lucy In The Sky With Diamonds (ซึ่งย่อได้เป็น LSD ยาเสพติดที่นิยมกันในหมู่ฮิปปี้ในยุคนั้น) หรือ With A Little Help From My Friends (ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่บอกว่า “I get high” ซึ่งเป็นคำสแลงหมายถึงกำลังเมายา หรือ “take some tea” ซึ่งอาจจะหมายถึงการพี้กัญชา) หรือแม้แต่ปกอัลบั้มที่ออกแนว psychedelic ที่ฉีกแนวจากปกอัลบั้มป็อปทั่วไป (ความจริงแนวโน้มนี้เริ่มเห็นได้ตั้งแต่อัลบั้มก่อนหน้าคือ Revolver ซึ่งใช้ลายเส้นสีขาวดำ)
แต่หากมองในเนื้อหาของหลายเพลงในอัลบั้มนี้แล้ว
เรากลับพบว่าเพลงส่วนใหญ่ยังมีเนื้อหาที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เช่น เพลง She’s Leaving Home และเพลง When I’m Sixty-Four ที่ยังมีมุมมองของคนรุ่นเก่า
หรือแม้แต่เพลง Fixing Hole ก็เป็นการบอกเล่าเรื่องราวธรรมดาสามัญของการใช้ชีวิตของคนทั่วไป
เนื้อหาเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะกับอัลบั้มที่ออกมาในช่วง Summer
of Love ปี 1967 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางวัฒนธรรมในยุคแห่งการแสวงหาของเหล่าบุปผาชน
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างแท้จริงของอัลบั้มนี้คือรูปแบบดนตรีที่แม้นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งจะบอกว่าเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ไม่ใช่เพลงที่เพราะและชวนจดจำมากเท่ากับอัลบั้มก่อนหน้าของ
The Beatles ไม่ว่าจะเป็น Rubber Soul หรือ Revolver
แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิจารณ์เห็นพ้องกันคือความกล้าในการลองและผสมผสานรูปแบบดนตรีหลากหลาย
เช่น rock, jazz, blues, avant-garde เป็นต้น นับได้ว่าเป็นต้นแบบของ progressive
rock ในเวลาต่อมา มีการใช้เทคนิคการอัดเสียงใหม่ๆที่
เช่น การตัดต่อเทปให้เล่นวนหรือ loop tape การสร้างเอฟเฟกต์ด้วยการเล่นเทปกลับหลัง การผสมเสียงของเทปจากการอัดสองครั้งที่จังหวะและระดับความถี่เสียง
(pitch) ที่แตกต่างกัน
เทคนิคต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่ลูกเล่นเท่านั้น แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งเพลงเพราะเป็นการใช้เอฟเฟกต์เพื่อให้เกิดอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้ฟังที่สอดคล้องกับเนื้อหาของเพลง
มีรูปแบบที่คล้ายกับการสร้างงานศิลปะแนว avant-garde ซึ่งมีอิทธิพลมากในยุคนั้น โดยเฉพาะเทคนิคแบบ collage
ที่สร้างงานศิลปะขึ้นใหม่จากการผสมผสานและดัดแปลงงานศิลปะแบบเก่าเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ Sgt. Pepper ยังเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่มีช่องว่างระหว่างแต่ละแทร็ก
โดยเมื่อแทร็กหนึ่งจบจะเริ่มอีกแทร็กหนึ่งทันทีโดยไม่มีช่วงหยุดระหว่างเพลงทำให้อารมณ์ในการฟังเพลงเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด
เพลงที่เป็น highlight ของอัลบั้มนี้คือเพลง A Day In The Life ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มต่อจากแทร็กเพลงซ้ำ Sgt. Pepper (Reprise) เพื่อให้สะท้อนถึงจุดจบของเรื่องราวในจินตนาการและการกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน ประกอบด้วยท่อนหลัก 4 ท่อน ท่อน bridge ท่อนที่แปลกและค่อนข้าง abstract คือช่วงที่บรรเลงด้วยออร์เครสตราใช้เครื่องดนตรี
40 ชิ้นแบบให้อิสระกับนักดนตรีในการไล่โน้ตจากต่ำไปสูงซึ่งมีความยาวทั้งหมด 24
ห้อง สอดแทรกด้วยท่อนกลางที่ Paul เป็นคนแต่งและร้อง
ส่วนที่เหลือของเพลงแต่งโดย John จากเรื่องราวที่เขาอ่านพบในหนังสือพิมพ์
เนื้อเพลงช่วงก่อนเข้าสู่การบรรเลงแบบอิสระของออร์เครสตรามีข้อความว่า “…I love to turn you on..” ซึ่ง BBC ในสมัยนั้นมองว่าหยาบคายเกินไป เป็นเหตุให้เพลงนี้ถูกแบนไม่ให้ออกอากาศ
เพลงจบลงด้วยคอร์ด E major ที่ดังอยู่เกือบหนึ่งนาทีเต็ม คอร์ดนี้เล่นด้วยเปียโน 3 หลังผสมด้วยเสียงของ harmonium (ออร์แกนโบราณชนิดหนึ่ง)
และใช้เทคนิคในการอัดที่ช่วยให้ลากเสียงคอร์ดสุดท้ายออกไปนานถึงกว่า 40 วินาที
มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเพลงนี้ว่า ในตอนแรก
เพลงปิดอัลบั้มควรจะเป็น Sgt. Pepper (Reprise) เพราะจะเป็นไปตาม concept
ที่ให้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยวง Sgt. Pepper แต่เมื่อโปรดิวเซอร์ George Martin ได้ฟังคอร์ดสุดท้ายของเพลง A Day In The Life แล้ว เขาคิดว่าเสียงทอดยาวของคอร์ดนี้ควรจะเป็นคอร์ดสุดท้ายของอัลบั้มนี้
ไม่มีอะไรจะมาแทนมันได้
ต่อจากเพลงสุดท้าย The
Beatles ใส่เสียงเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการอัดเสียงพูดของ John ว่า “been so high”
และของ Paul
ว่า “never could have been any other way” พร้อมเสียงหัวเราะที่เล่นกลับหลังและวนไปมา เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังทิ้งลูกเล่นสุดท้ายไว้ในร่องแผ่นเสียงร่องสุดท้ายซึ่งในสมัยนั้นเครื่องเล่นจานเสียงยังไม่มีระบบยกหัวเข็มแบบอัตโนมัติ
ดังนั้น ถ้าใครทิ้งหัวเข็มค้างไว้ จะมีเสียงความถี่สูง 15 กิโลเฮิร์ทซ์ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์ไม่ได้ยินแต่จะเป็นเสียงที่กวนประสาทสุนัขแบบสุดๆ
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าไอเดียเรื่องการใช้เทคนิคการอัดเสียงแบบแปลกๆในแผ่นนี้น่าจะมาจากจินตนาการของคนที่กำลังเมายาและเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะสมัยใหม่แบบ
avant-garde
แม้แต่ปกอัลบั้มนี้ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย
อย่างแรกที่มักพูดถึงกันคือการสื่อด้วยภาพของวงในจินตนาการ Sgt. Pepper ที่มีการแต่งกายรวมทั้งการไว้ทรงผมและหนวดเคราที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์
“mop tops” หรือ “สี่เต่าทอง” ที่มีสัญลักษณ์ปรากฏบนปกอัลบั้มด้วยหุ่นขี้ผึ้ง
(จากพิพิธภัณฑ์ Madame Tussauds) ของสมาชิกทั้งสี่คนที่ถูกเบียดให้ไปยืนอยู่ด้านข้าง
การไว้หนวดครึ้มและการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดสื่อถึงวัฒนธรรมฮิปปี้ที่กลายเป็นกระแสนิยมในยุคนั้น
ภาพหมู่ของบุคคลสำคัญประกอบด้วยภาพถ่าย 57 ภาพและภาพหุ่นขี้ผึ้งอีก 9
ภาพซึ่งเป็นบุคคลสำคัญหลากหลายจากวงการต่างๆซึ่งรวมทั้งนักแสดง นักวิทยาศาสตร์
นักกีฬา กูรูลัทธิทางศาสนา นักเขียน นักร้องและนักแสดงปกอัลบั้มนี้ได้รับรางวัล Grammy Award for Best Album Cover ในปี 1968 นอกจากนี้
ยังมีการนำเนื้อเพลงทุกเพลงมาพิมพ์ไว้บนปกหลังซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอัลบั้มเพลงร็อก
ระหว่างการโปรโมทอัลบั้ม Sgt. Pepper |
อย่างไรก็ตาม Paul
McCartney พูดถึงอัลบั้มนี้อย่างถ่อมตัวว่าเขาเชื่อว่าหลายๆอย่างที่พวกเขาใส่ไว้ในอัลบั้มนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่แล้วในยุคนั้น
The Beatles เป็นเพียงผู้ที่สามารถนำเสนออิทธิพลต่างๆที่ได้รับจากศิลปวัฒนธรรมในยุคนั้นจนทำให้เกิดกระแสนิยมกันอย่างกว้างขวาง
มีเกร็ดเล็กน้อยสำหรับเพื่อนสมาชิกที่เป็นคอเพลงพันธุ์แท้ที่ต้องการฟังเพลงจากต้นฉบับที่มาจากการอัดเสียงในครั้งแรกจริงๆ
ไม่ใช่การมามิกซ์เสียงในภายหลัง อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มสุดท้ายของ The Beatles ที่ต้นฉบับเป็นการอัดในระบบโมโน ส่วนเวอร์ชั่นที่เป็นสเตอริโอนั้นเป็นการมามิกซ์เสียงในภายหลัง
มีนักวิจารณ์ส่วนหนึ่งบอกว่าหากต้องการอรรถรสที่แท้จริงจากอัลบั้มนี้
ควรจะฟังอัลบั้มในระบบโมโนเพราะมิติเสียงที่อออกมาจะเป็นไปตามความตั้งใจของนักดนตรีและโปรดิวเซอร์มากกว่า
ในขณะที่เอฟเฟกต์เสียงในระบบสเตอริโอจะให้ความรู้สึกของความเป็น
psychedelic มากกว่า
เช่นการที่เสียงวิ่งไปมาระหว่างลำโพงซ้ายขวาทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนพวกกำลังเพลินจากอิทธิพลของการเสพยา
แต่เวอร์ชั่นโมโนจะให้ความรู้สึกที่ดิบเป็น rock มากกว่า ก็ลองไปหามาฟังกันดูนะครับว่าจะเป็นอย่างที่เขาว่าหรือไม่
คงจะเหมือนการได้กลับไปสัมผัสกับอัลบั้มนี้เป็นครั้งแรก
Magical Mystery Tour (อัลบั้มที่ออกในอเมริกา พ.ย. 1967) รวมซิงเกิล Lady Madonna / The Inner Light
อันที่จริง Magical
Mystery Tour ที่ออกครั้งแรกในอังกฤษไม่ได้ออกมาในรูปอัลบั้ม
แต่ออกมาในรูปของ double EP เพราะมาจากเพลง soundtrack 6 เพลงจากหนังเรื่อง Magical Mystery Tour ซึ่งสร้างปัญหาให้กับต้นสังกัด
Parlophone ในอังกฤษ
เนื่องจากมีเพลงมากไปสำหรับแผ่น single แต่ก็น้อยไปสำหรับแผ่น LP ค่ายนี้จึงแก้ปัญหาด้วยการออกเป็น
double EP 2 แผ่น
แต่เมื่อออกในอเมริกา ค่าย Capitol ตัดสินใจออกเป็น
LP โดยบรรจุทั้ง 6 เพลงจาก soundtrack หนังเป็น side
A โดยใน side B นำเพลงที่ออกมาเป็นแผ่นซิงเกิลมาแล้ว 4 เพลงซึ่งรวมเพลง Strawberry Fields Forever และ Penny Lane อยู่ด้วย
Magical Mystery Tour เป็นหนังเรื่องที่
3 ของ The Beatles ต่อจาก A Hard Day’s Night และ Help!
แต่จะแตกต่างจากสองเรื่องที่กำกับโดยผู้กำกับมืออาชีพอย่าง Richard Lester ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ส่วน MMT เป็นหนังสร้างสำหรับฉายทางทีวี
เป็นหนังที่มีไม่มีการเขียนบทไว้ก่อน เป็นไอเดียที่ Paul ได้ได้จากการอ่านเรื่องราวของ Ken Kesey (ผู้เขียนเรื่อง One Flew Over the Cuckoo’s
Nest) เกี่ยวกับการตระเวนเสพยาไปทั่วอเมริกากับรถบัสชื่อ Further ของเขากับกลุ่มคนเดินทางที่เรียกตัวเองว่า
Merry Pranksters
เมื่อออกฉายเป็นครั้งแรกทางช่อง BBC ก็ถูกนักวิจารณ์และคนดูสวดยับว่าเป็นหนังที่ไม่มีเนื้อหา
เหมือนเอาเหตุการณ์มาปะติดปะต่อกันโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย
การถ่ายทำที่เหมือนมือสมัครเล่นจนเกิดอาการภาพสั่นไหวเกือบทั้งเรื่อง
คนดูให้เรตติ้งต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 23 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 อย่างไรก็ตาม
มีนักวิจารณ์ในปัจจุบันบางส่วนเริ่มมองว่าเป็นไปได้ว่าการนำเสนอของหนังเรื่องนี้เป็นแนว
avant-garde ที่ล้ำยุคจนยากที่คนสมัยนั้นจะยอมรับได้
ซึ่งก็อาจจะมีเค้าความเป็นจริงเนื่องจากในช่วงนั้น Paul
McCartney สนใจศึกษางานดนตรีของนักประพันธ์ดนตรีแนว avant-garde อย่าง Karlheinz
Stockhausen และ John Cage ถึงขนาดนำรูปของ Stockhausen ลงบนปกอัลบั้ม Sgt. Pepper ด้วย
นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังมีความเป็น surrealism ในแนวศิลปะเหนือจริงของ
Dali จึงไม่น่าแปลกใจที่ตอนที่หนังเรื่องนี้ออกมาจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบกันอย่างแพร่หลาย
แต่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็ตาม อย่างหนึ่งที่นักวิจารณ์ยอมรับกันคือความกล้าของ
The Beatles ที่สร้างผลงานแบบที่สามารถสะท้อนสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม
counterculture ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
[ติดตามอ่านต่อในตอนที่ 4 ครับ]
อันที่จริง Magical Mystery Tour ที่ออกครั้งแรกในอังกฤษไม่ได้ออกมาในรูปอัลบั้ม แต่ออกมาในรูปของ double EP เพราะมาจากเพลง soundtrack 6 เพลงจากหนังเรื่อง Magical Mystery Tour ซึ่งสร้างปัญหาให้กับต้นสังกัด Parlophone ในอังกฤษ เนื่องจากมีเพลงมากไปสำหรับแผ่น single แต่ก็น้อยไปสำหรับแผ่น LP ค่ายนี้จึงแก้ปัญหาด้วยการออกเป็น double EP 2 แผ่น แต่เมื่อออกในอเมริกา ค่าย Capitol ตัดสินใจออกเป็น LP โดยบรรจุทั้ง 6 เพลงจาก soundtrack หนังเป็น side A โดยใน side B นำเพลงที่ออกมาเป็นแผ่นซิงเกิลมาแล้ว 4 เพลงซึ่งรวมเพลง Strawberry Fields Forever และ Penny Lane อยู่ด้วย
Magical Mystery Tour เป็นหนังเรื่องที่
3 ของ The Beatles ต่อจาก A Hard Day’s Night และ Help!
แต่จะแตกต่างจากสองเรื่องที่กำกับโดยผู้กำกับมืออาชีพอย่าง Richard Lester ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ส่วน MMT เป็นหนังสร้างสำหรับฉายทางทีวี
เป็นหนังที่มีไม่มีการเขียนบทไว้ก่อน เป็นไอเดียที่ Paul ได้ได้จากการอ่านเรื่องราวของ Ken Kesey (ผู้เขียนเรื่อง One Flew Over the Cuckoo’s
Nest) เกี่ยวกับการตระเวนเสพยาไปทั่วอเมริกากับรถบัสชื่อ Further ของเขากับกลุ่มคนเดินทางที่เรียกตัวเองว่า
Merry Pranksters
เมื่อออกฉายเป็นครั้งแรกทางช่อง BBC ก็ถูกนักวิจารณ์และคนดูสวดยับว่าเป็นหนังที่ไม่มีเนื้อหา
เหมือนเอาเหตุการณ์มาปะติดปะต่อกันโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย
การถ่ายทำที่เหมือนมือสมัครเล่นจนเกิดอาการภาพสั่นไหวเกือบทั้งเรื่อง
คนดูให้เรตติ้งต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 23 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 อย่างไรก็ตาม
มีนักวิจารณ์ในปัจจุบันบางส่วนเริ่มมองว่าเป็นไปได้ว่าการนำเสนอของหนังเรื่องนี้เป็นแนว
avant-garde ที่ล้ำยุคจนยากที่คนสมัยนั้นจะยอมรับได้
ซึ่งก็อาจจะมีเค้าความเป็นจริงเนื่องจากในช่วงนั้น Paul
McCartney สนใจศึกษางานดนตรีของนักประพันธ์ดนตรีแนว avant-garde อย่าง Karlheinz
Stockhausen และ John Cage ถึงขนาดนำรูปของ Stockhausen ลงบนปกอัลบั้ม Sgt. Pepper ด้วย
นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังมีความเป็น surrealism ในแนวศิลปะเหนือจริงของ
Dali จึงไม่น่าแปลกใจที่ตอนที่หนังเรื่องนี้ออกมาจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบกันอย่างแพร่หลาย
แต่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็ตาม อย่างหนึ่งที่นักวิจารณ์ยอมรับกันคือความกล้าของ
The Beatles ที่สร้างผลงานแบบที่สามารถสะท้อนสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม
counterculture ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
[ติดตามอ่านต่อในตอนที่ 4 ครับ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น