วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การแยกวง ตอนที่ 1


คนส่วนใหญ่มักจะถือเอาการประกาศแยกวงอย่างเป็นทางการของ Paul McCartney เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 1970 เป็นจุดที่สมาชิกในวงเริ่มจะแยกทางกันไปตามแนวทางของแต่ละคน แต่ในความเป็นจริง การแยกวงของ The Beatles เริ่มเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นข่าวออกมา แม้แต่วิธีที่ Paul ใช้ในการออกข่าวว่าตัวเองกำลังจะแยกจากวงก็ไม่ใช่การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ Paul ออกแถลงการณ์ในรูป self-interview (คือทำในลักษณะการสัมภาษณ์กับตัวเอง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัว solo album แรก “McCartney” ในวันที่ 10 April 1970 ซึ่งสื่อถือกันว่าเป็นการประกาศแยกตัวจาก The Beatles ของ Paul อย่างเป็นทางการ

ขอตัด Self-interview ที่ว่าพร้อมคำแปลในวงเล็บมาลงไว้ตรงนี้เลยครับ

Q: "Is this album a rest away from the Beatles or the start of a solo career?”
(อัลบั้มนี้เป็นแค่การพักชั่วคราวจากการทำงานในฐานะ The Beatles หรือจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินเดี่ยว?)

PAUL: “Time will tell. Being a solo album means it’s ‘the start of a solo career…and not being done with the Beatles means it’s just a rest. So it’s both.”
(เวลาเท่านั้นจะบอกได้ การที่เป็นอัลบั้มเดี่ยวหมายความว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินเดี่ยว...และการไม่ได้ร่วมงานกันในฐานะ The Beatles ก็หมายความว่ามันเป็นการพักชั่วคราว มันเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง)

Q: “Is your break with the Beatles temporary or permanent, due to personal differences or musical ones?”
(การแยกตัวจาก The Beatles ของคุณเป็นเรื่องชั่วคราวหรือถาวร สาเหตุมาจากปัญหาส่วนตัวหรือแนวทางการทำดนตรี?)

PAUL: “Personal differences, business differences, musical differences, but most of all because I have a better time with my family. Temporary or permanent? I don’t really know.”
(จากความคิดเห็นที่แตกต่างด้านส่วนตัว ด้านธุรกิจ ด้านแนวดนตรี แต่ที่สำคัญที่สุดเพราะผมต้องการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพกับครอบครัว จะเป็นแค่ชั่วคราวหรือถาวร? ผมไม่ทราบจริงๆ)

Q: “Do you foresee a time when Lennon-McCartney becomes an active songwriting partnership again?”
(คุณยังมองเห็นโอกาสในอนาคตที่ Lennon-McCartney ยังคงร่วมงานการแต่งเพลงกันอีกหรือไม่?)

PAUL: “No.”
(ไม่ครับ)


ก่อนที่จะถึงจุดนี้ มีเหตุการณ์ระหองระแหงหลายอย่างเกิดขึ้นในวงมาก่อนหน้านี้แล้ว

สาเหตุการแยกวง

ปัญหาในวงเกิดขึ้นตั้งแต่การตายของผู้จัดการวง Brian Epstein ในปี 1967 ซึ่งดูแลด้านธุรกิจทั้งหมดของวง ทำให้สมาชิกไม่ต้องพะวงเรื่องอื่นๆ ทุ่มเทให้กับการแต่งเพลงและการทำงานในสตูดิโอได้เต็มที่

เมื่อ Brian ตายทุกอย่างก็เปลี่ยนไป สร้างความกังวลให้กับ John ซึ่งให้สัมภาษณ์ในภายหลัง
ว่า

“I knew that we were in trouble then. I didn’t really have any misconceptions about our ability to do anything other than play music and I was scared. I thought, ‘We’ve fuckin’ had it.’”
(ผมรู้ว่าพวกเรากำลังตกที่นั่งลำบาก ผมต้องยอมรับความจริงว่าพวกเราทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นเลยนอกจากเล่นดนตรี ซึ่งทำให้ผมกลัวมาก ผมคิดในใจว่า “ถึงคราวฉิบหายแน่”

ผิดกับ Paul ซึ่งกลับเริ่มแสดงออกถึงความเป็นผู้นำที่ซ่อนอยู่ในตัว Paul เริ่มมีบทบาทในการกำหนดทิศทางต่างๆของวงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการออกไอเดียอัลบั้ม Magical Mystery Tour ในปี 1967 ซึ่งเริ่มสร้างความไม่พอใจ (ปนอิจฉา?) ให้กับสมาชิกคนอื่น

อัลบั้มต่อมาในปี 1968 The Beatles  หรือ The White Album ซึ่งเป็นอัลบั้มคู่ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในวงอย่างชัดเจน เพลงที่มีออกมามีลักษณะเหมือนต่างคนต่างแต่ง ต่างคนต่างทำ เพลงของใครคนนั้นก็จะ lead โดยมีสมาชิกคนอื่นเป็นเพียง backup ให้เท่านั้น นักวิจารณ์บางคนถึงกับบอกว่าอัลบั้มนี้ฟังดุเหมือน 4 solo albums under one roof” ในการให้สัมภาษณ์ในภายหลัง Paul เรียกมันว่า “The Tension Album”

เมื่อ Ringo ถูก Paul ต่อว่าเรื่องการเล่นกลองระหว่างการอัดเพลง Back In The U.S.S.R. Ringo เหลืออดและหนีไปพักร้อนกับครอบครัวอยู่หลายสัปดาห์ ต้องถือว่า Ringo เป็นสมาชิกคนแรกที่ แยกตัวจากวงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ

คนต่อมาที่ แยกตัวชั่วคราวจากวงคือ George เมื่อมีปากเสียงกับ Paul ระหว่างการอัดเสียงเพลง Two of Us ของอัลบั้ม Let It Be (ตอนแรกใช้ชื่อว่า Get Back ที่ต้องการให้เป็นการอัดเสียงแบบ live) ซึ่งผมจะเขียนบทความเรื่องนี้แยกต่างหากในโอกาสหน้าครับ

George บ่นว่า “…Paul wanted nobody to play on his songs until he decided how it should go. For me it was like: 'What am I doing here? This is painful!'…” 
(...Paul ไม่ต้องการให้ใครเล่นเพลงที่เขาแต่งจนกว่าเขาจะตัดสินใจก่อนว่าจะให้เพลงออกมาในรูปไหน สำหรับผมแล้ว ผมคิดในใจว่า “แล้วเรามาทำอะไรที่นี่? มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก!...)

นอกจากนี้ George ก็ยังบ่นเรื่องที่ John เอา Yoko มาอยู่ข้างกายตลอดเวลาที่อยู่ในห้องอัดเสียงซึ่งถือเป็นเรื่องต้องห้าม ในอดีต แม้แต่ผู้จัดการวง Brian Epstein ก็เคยถูก John ไล่ออกจากห้องอัดถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

อาการรังเกียจที่สมาชิกคนอื่นแสดงต่อ Yoko ทำให้ John ไม่พอใจมากเพราะถือว่าไม่ให้เกียรติกัน คนที่แสดงออกถึงความรำคาญอย่างออกหน้าออกตามากที่สุดคือ George จนมีปากเสียงกับ John และเก็บข้าวของหนีจากห้องอัด John แนะนำว่าถ้า George ไม่กลับมาจริงๆให้ไปทาบทาม Eric Clapton มาเล่นแทน

แต่เหตุการณ์สำคัญที่เป็นชนวนให้การขัดแย้งกันในวงถึงจุดแตกหักไม่ใช่เรื่องความไม่ลงรอยกันในการทำงานหรือ Yoko แต่เป็นเรื่องทางธุรกิจ นั่นคือการหาผู้จัดการวงคนใหม่ John, George และ Ringo ต้องการจ้าง Allen Klein แต่ Paul ไม่เห็นด้วยเพราะได้ข้อมูลมาจาก Mick Jagger ว่า Allen Klein มีประวัติไม่ดีและไม่น่าไว้วางใจ (“Don’t go near him.”)

ในขณะเดียวกัน Paul ต้องการจ้าง Lee และ John Eastman (พ่อและพี่ชายของ Linda Eastman ภรรยาของ Paul) ซึ่งสมาชิก Beatles คนอื่นคัดค้านอย่างหนักเพราะเห็นว่าจะเป็นการให้อำนาจกับ Paul มากเกินไป เลยต้องโหวตกันและ Paul แพ้เสียงข้างมากของคนอื่น (Beatles ทำสัญญากันในรูป Partnership หรือห้างหุ้นส่วน ซึ่งใช้เสียงข้างมากในการดำเนินการเรื่องสำคัญ) John, George และ Ringo เซ็นสัญญาจ้าง Klein แต่ Paul ไม่ยอมเซ็นซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สำคัญยิ่งต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา

หลังการเปิดตัวอัลบั้ม Abbey Road ในเดือน ก.ย. 1969  Paul พยายามครั้งสุดท้ายที่จะโน้มน้าวให้ทุกคนอยู่ร่วมกัน Paul เสนอให้วงกลับไปแสดงสดและออกทัวร์เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ "Let's get back to square one and remember what we're all about." 
(พวกเราน่าจะกลับไปตั้งต้นกันเหมือนในอดีตและรื้อฟื้นความรู้สึกว่าเราเริ่มกันมาจากอะไร)

แต่ John ตอบว่า "I think you're daft (silly). I wasn't going to tell you, but I'm breaking the group up. It feels good. It feels like a divorce." 
(ฉันว่าแกมันงั่ง ฉันไม่อยากจะบอก แต่ฉันกำลังจะประกาศแยกวง มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดี เหมือนการหย่า)

ทุกคนที่อยู่ในห้อง (สี่ Beatles, Yoko, Klein) ช็อกไปตามๆกัน Paul และ Klein ขอให้ John เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่าเพิ่งประกาศออกไปเนื่องจากช่วงนั้นวงกำลังเจรจากับ EMI เพื่อขอขึ้นค่าลิขสิทธิ์เพลง

Paul ดูจะได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเรื่องนี้มากที่สุด (อาจจะเป็นเพราะในช่วงหลังๆ Paul ทำตัวเสมือนหัวหน้าวงโดยมีสมาชิกคนอื่นทำตามทิศทางที่ Paul กำหนด) Paul เกิดอาการซึมเศร้า เลิกแต่งเพลง วันๆเอาแต่ดื่มเหล้า น้ำท่าไม่อาบ อารมณ์เสียง่าย จน Linda ภรรยาทนไม่ได้ ต้องบอกกับ Paul ว่า "You don't have to take this crap. You're a grown man." (เธอไม่จำเป็นต้องทนเรื่องบ้าๆนี้ เธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว)

ช่วงปลายปี Paul เริ่มกลับมาแต่งเพลงสำหรับอัลบั้มเดี่ยว พอถึงเดือน มี.ค. 1970 Paul โทรหา John และบอกว่าต้องการจะแยกวงเหมือนกัน John ตอบว่า “Good. That makes two of us who have accepted it mentally.” (ก็ดี ตอนนี้ก็มีเราสองคนแล้วที่ทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว)

เรื่องมาถึงจุดระเบิดเมื่อ John, George และ Klein ขอให้ Paul เลื่อนวันเปิดตัวอัลบั้ม McCartney ที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 17 เม.ย. 1970 เพราะ The Beatles กำหนดจะเปิดตัวอัลบั้ม Let It Be ในวันที่ 24 เม.ย. Ringo รับเป็นคนไปเกลี้ยกล่อม Paul แต่กลับถูกไล่ออกจากบ้าน Ringo เกิดใจอ่อนเห็นใจ Paul เกลี้ยกล่อมให้ John และ George ยอมให้ Paul ออกอัลบั้มตามกำหนดเดิม


เหตุการณ์ต่อมาคือการออกแถลงการณ์การแยกตัวจากวงของ Paul ในการเปิดตัว solo album แรกตามที่เล่าไว้ในตอนที่ 1 ซึ่งทำให้ John โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะมองว่าตัวเองเป็นคนก่อตั้งวง จึงควรจะเป็นคนประกาศการแยกวงโดยบอกว่า "I started the band; I disbanded it. It's as simple as that.” (ผมเป็นคนก่อตั้งวงนี้ ก็สมควรที่ผมจะเป็นคนประกาศแยกวง)

นอกจากนี้ John ยังมองว่า Paul ถือโอกาสเอาการแยกวงมาประชาสัมพันธ์อัลบั้มของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ John พูดว่า "I wanted to do it and I should have done it. I was a fool not to do it, not to do what Paul did, which was use it to sell a record." (ผมต้องการจะเป็นคนประกาศเรื่องนี้ ผมน่าจะทำไปแล้ว ผมมันโง่ที่ไม่ทำไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ทำแบบที่ Paul ทำไป คือแค่ใช้มันเป็นเครื่องมือในการขายอัลบั้มของตัวเอง)

แต่ Paul โต้ว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่แยกตัวจากวงและให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า "Ringo left 
first, then George, then John. I was the last to leave! It wasn't me!" (Ringo เป็นคนเริ่มก่อน ตามมาด้วย George แล้วก็ John ผมเป็นคนสุดท้ายที่แยกตัวออกมา! ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องนี้ก่อน!)

เพื่อป้องกันไม่ให้ Klein ผู้จัดการคนใหม่ของวงมาได้ประโยชน์จากผลงานส่วนของตน Paul ขอลาออกจากบริษัท Apple แต่สมาชิกคนอื่นไม่ยอม ทำให้ Paul ตัดสินใจฟ้องศาลเพื่อขอยกเลิก Beatles Partnership

ในตอนต่อไป ผมจะพูดถึงคดีที่ Paul McCartney เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยร่วมคือ John Lennon, George Harrison, Richard Starkey (ชื่อจริงของ Ringo Starr) และบริษัท Apple Corps

ต้องบอกว่าเรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจพอๆกับการศึกษาเพลงของ The Beatles




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น